tag:blogger.com,1999:blog-73501103705038166492024-03-22T08:09:24.582+07:00Sarawutpat BlogSarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.comBlogger129125tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-85999274483873482232013-04-10T15:37:00.002+07:002013-04-10T15:39:55.539+07:00ขีปนาวุธ SMEs ยุค 3G จัดการธุรกิจ ผ่าน App โดนๆ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzRA5nwd26OSeZ1-tmCojx0OP8uFSGfXxlLnZMoIXU7tfGjUmPSmWq6Vlq0y4f8p8qN5jF4CP1wbI5dYwud2bkkDeB_guOJ6Quiy807lsFh-pziMCkzdFX1S0L0teJ-0hSHY493f9LEGA/s1600/news_img_498361_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="280" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzRA5nwd26OSeZ1-tmCojx0OP8uFSGfXxlLnZMoIXU7tfGjUmPSmWq6Vlq0y4f8p8qN5jF4CP1wbI5dYwud2bkkDeB_guOJ6Quiy807lsFh-pziMCkzdFX1S0L0teJ-0hSHY493f9LEGA/s400/news_img_498361_1.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<strong>เกิดเป็นเอสเอ็มอีในยุค 3G ต้องไม่ตกยุค ลองใช้ Mobile Application จัดการงานหลังบ้านและหน้าบ้าน ในเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้ว...คลิก!!</strong><br />
<strong></strong><br />
แอพพลิเคชั่นโดนๆ ที่ปรากฏตัวในงานเปิดม่าน “<a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=ECIT" target="_blank">ECIT</a> <a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=Mobile Application" target="_blank">Mobile Application</a> for SMEs” เข้าทางและโดนใจ ผู้ประกอบการไทยยุค 3G เอามากๆ<br />
ในยุคที่เทคโนโลยีวิ่งแซงหน้าทุกอย่าง และก้าวไกลกว่าที่ใครๆ คิด ชนิดที่เอสเอ็มอีจะปฏิเสธ และทำมึนต่อไปอีกไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การสร้างโอกาสธุรกิจ ทว่ายังรวมระบบปฏิบัติการที่จะเป็นลูกมือช่วยผู้ประกอบการพันธุ์เล็ก ให้สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ประหยัดเวลา ลดต้นทุน ทั้งยังเพิ่มยอดขาย<br />
ที่สำคัญไม่ต้องลงทุนกับเงินมหาศาล เพราะบริการที่ว่านี้ มีค่าใช้จ่ายเท่ากับ “ศูนย์”<br />
<br />
“<a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=ECIT" target="_blank">ECIT</a> <a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=Mobile Application" target="_blank">Mobile Application</a> for SMEs” คือโครงการต่อเนื่องของ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ที่สานต่อจากโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ <a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=ECIT" target="_blank">ECIT</a> (อีซี่ไอที) การใช้ระบบไอทีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาช่วยเหลืออุตสาหกรรม ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 จนต่อยอดสู่ 11 แอพลิเคชั่นสำหรับเอสเอ็มอีในวันนี้<br />
<br />
“ปัญหาสต๊อกบวมเป็นเรื่องปกติของเอสเอ็มอี ถ้าเขาไม่มีระบบการจัดการมาบริหารคลังสินค้า ก็จะไม่รู้เลยว่าตอนนี้ สต๊อกวัตถุดิบและสินค้ามีเท่าไร ต้องสั่งเพิ่มเท่าไร ฝ่ายจัดซื้อก็จะสั่งของเกินมาก่อน ซึ่งก็กลายเป็นต้นทุน แต่ระบบของเราจะคำนวณให้เสร็จในขั้นตอนเดียว และจะรายงานทุกอย่างแบบพอดีเป๊ะ! เพราะฉะนั้นคอนเซ็ปต์ก็คือ สต๊อก เท่ากับ 0”<br />
<br />
อภิรักษ์ เชียงเจริญ Business Development Director จากบริษัท ดับเบิล เอ็ม เทคโนโลยี แมเนจเม้นท์ จำกัด แนะนำแอพพลิชั่น Double M Sales 2 Go โปรแกรมที่ช่วยตรวจสอบสินค้าคงคลัง และบันทึกคำสั่งซื้อขายผ่านระบบ 3G หรือ wifi ได้แบบทุกที่ ทุกเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ เหมาะกับกิจการทั้งเล็กและใหญ่ จะซื้อมาขายไป หรือ การผลิต ระบบก็พร้อมรองรับ<br />
<a name='more'></a><br />
เรื่องคลังสินค้าว่าหนักอกแล้ว แต่เจอเรื่อง “คน” ยิ่งเหนื่อยจิตกว่า ปฏิวัติระบบ HR เดิมๆ มาสู่โลกออนไลน์ในหน้าจอมือถือ ด้วย Human Pay Outsourcing Payroll หรือ ระบบบริหารเงินเดือนแบบเอาท์ซอร์สผ่านอุปกรณ์พกพา ของบริษัท ภูมิซอฟต์ จำกัด ที่ “สุรีย์พร ยิ้มแก้ว” Associate Partner แห่ง ภูมิซอฟต์ บอกเราว่า ระบบนี้ ผู้ประกอบการและพนักงานสามารถเรียกดูใบจ่ายเงินเดือน (Pay Slip) และขอใบจ่ายเงินเดือนฉบับจริงผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้ จึงลดต้นทุนการพิมพ์สลิป ลดขั้นตอนการทำงาน เพื่อที่เถ้าแก่จะได้เอาเวลาไปจัดการกับธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่ ระบบใหม่ทำให้การรักษาความลับเงินเดือนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนลดต้นทุนด้านซอฟแวร์และการบำรุงรักษา และสกัดปัญหาจากการลาออกของพนักงานที่ดูแลเรื่องเงินเดือนได้อีกด้วย<br />
<br />
<span style="background-color: #dddddd;"></span><br />
“ผู้ประกอบการมักไม่สนใจเรื่อง HR แต่ถ้าอยากให้องค์กรเดินหน้าไปได้ด้วยดี ต้องมีการจัดการที่เป็นระบบ จะช่วยให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้น สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องจุกจิก ที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในองค์กร จะได้ แฮปปี้ทั้งเจ้าของกิจการ และคนทำงาน นี่เป็นการพัฒนาหลังบ้านของเขาจริงๆ”<br />
<br />
บริการของภูมิซอฟต์ ไม่ได้มีเพียงบริหารเงินเดือน แต่ครอบคลุมงานด้าน HR ทั้งหมด เช่น ระบบประเมินผลงาน การติดตามผลงาน ทำทะเบียนประวัติ โครงสร้างองค์กร บันทึกการขาดลามาสาย เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งพวกเขาย้ำว่า ถ้าเอสเอ็มอีอยากโต ต้องพัฒนาคน โดยสามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน<br />
อีกเรื่องปวดหัวที่ใกล้ตัวเอสเอ็มอี คือระบบโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าหรือบริการที่ทำให้เม็ดเงินรั่วไหลไปอย่างช่วยไม่ได้ เช่น พนักงานขับรถออกนอกเส้นทาง ส่งของช้า เปลืองค่าน้ำมัน สารพันเรื่องปวดจิตที่เข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ปัญหาเหล่านี้พร้อมจะโบกมือลาผู้ประกอบการ กับแอพพลิเคชั่นของ Microdrive ซอฟต์แวร์ควบคุมการขนส่งผ่านอุปกรณ์พกพา<br />
<br />
วิธีการสุดแนว คือติดตั้งระบบลงในโทรศัพท์มือถือของผู้ขับขี่ ทำให้ทราบสถานะของรถได้ทันที ผ่านทางมือถือของเจ้าของกิจการ เมื่อลูกน้องส่งของเสร็จก็แค่กดปุ่มส่งรายงานเข้ามา เราก็จะรับทราบและสบายใจหายห่วงได้ หรือจะเรียกดูรายการย้อนหลังผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้เช่นกัน ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการได้เต็มๆ คือ การวางแผนการขนส่งเพื่อให้เร็วที่สุดและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ป้องกันการโจรกรรม ควบคุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ และควบคุมพฤติกรรมการขับขี่<br />
<br />
แนวคิดที่พวกเขาฝากไว้ สำหรับเอสเอ็มอีที่ไม่อยากตกยุค คือ ให้เรียนรู้จากเรื่องใกล้ตัว ว่าปัญหาที่มีคืออะไร จากนั้นก็นำเทคโนโลยีด้านไอทีเข้ามาช่วยแก้ปัญหา เพื่อให้การทำงานสะดวก รวดเร็ว และประหยัดขึ้น ด้วยตัวเราเองได้<br />
<br />
มากันที่ “กิตตินันท์ อนุพันธ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอรุณสวัสดิ์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้าน call center และระบบแจ้งเตือน i-Lert-u ที่เรียกตัวเองว่า เป็น “Emergency Management” นักจัดการทุกเรื่องฉุกเฉิน พวกเขามีบริการด้านประกันภัย ที่รับแจ้งเหตุ ผ่านทางโทรศัพท์ และแอพลิเคชั่น i-Lert-u และส่งงานที่รับแจ้งไปยังเอาท์ซอร์สได้ภายในเสี้ยววินาที โดยที่พนักงานสำรวจภัยมีอุปกรณ์ครบมือ พร้อมรับคำสั่ง และสามารถทำเคลมออนไลน์ได้ทันที ที่สำคัญงานนี้ใช้งานได้ฟรี อบรมแล้วใช้งานได้ทันที สร้างโอกาสธุรกิจให้กับเหล่าเอ้าท์ซอร์สพนักงานสำรวจภัยได้อย่างดียิ่ง<br />
<br />
หลังบ้านทำงานได้ดี ก็มาที่กลยุทธ์หน้าบ้านกันบ้าง เริ่มจาก บริษัท Box Box.me ผู้จัดทำระบบบัตรสมาชิกและบัตรสะสมแต้มออนไลน์ ผลงานของ ดร.วิลาส ฉ่ำเลิศวัฒน์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ ที่จะช่วยให้ลูกค้า “จงรักภักดี” กับตัวสินค้าเรามากขึ้น วิธีการของ Box Box คือ ทำให้เรื่องการสะสมแต้มเป็นเรื่องง่าย สนุก และไม่ต้องพกบัตรต่างๆ ให้ยุ่งยาก ลดต้นทุนการทำบัตรสมาชิก สะสมแต้ม<br />
<br />
โดยข้อมูลของลูกค้าจะถูกเก็บลงฐานข้อมูลออนไลน์ที่ละเอียดและไม่จำกัด สามารถตรวจสอบการแจกแต้ม การแลกของรางวัล เพื่อลดปัญหาการซับซ้อนหรือรั่วไหลได้ ช่วยให้รู้ใจลูกค้ามากขึ้น ตลอดจนมีสถิติและผลวิเคราะห์แคมเปญที่ละเอียด และเข้าใจง่าย เอสเอ็มอีจึงสามารถวัดผล เพื่อปรับกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างเหมาะสม โดยสามารถสมัครใช้งานฟรีเบื้องต้น 500 รายการ ที่เว็บไซต์ Box Box.me<br />
“ยุคนี้เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายระหว่างยุคเก่า กับยุคที่ก้าวกระโดดมาเป็นไอที มาเป็น Cloud Computing ซึ่งแน่นอนเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ยังกลัว และไม่กล้าใช้ แต่อยากบอกว่า ไม่ใช่เรื่องยาก และถ้าเข้าใจก็จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล”<br />
<br />
ปิดท้ายกับสาวก มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ติดหนึบกับเฟชบุ้ค ลองเข้าไปเล่นเฟชบุ้ค ผ่านแอพพลิเคชั่น Buzzebees แล้วทุกไลค์ แชร์ เม้นต์ ของคุณ ก็จะกลายเป็นแต้มสะสมทำเงินได้ “ณัฐธิดา สงวนสิน” แชร์ไอเดียสุดคูลของ Buzzebees ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการสะสมคะแนนจากการใช้จ่าย โดยเชื่อมต่อกับ Facebook อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกอยู่กว่า 3 แสนราย นอกจากผู้เล่นปลื้มกับสิทธิประโยชน์จากคะแนนสะสม ไม่ว่าจะเป็นส่วนลด ซื้อดีลราคาถูก จับฉลากลุ้นของรางวัล<br />
<br />
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ เอสเอ็มอี จะมีช่องทางให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าสาวกเฟชบุ้ค ทั้งเป็นการโฆษณาแบบเนียนๆ ประสาเพื่อนบอกเพื่อน ช่วยดึงลูกค้าเข้าร้านเรามากขึ้น และเป็นการเพิ่ม Brand Awareness ให้กับสินค้าได้ ที่น่าสนใจสุดๆ ก็ต้องเป็นการตลาดแบบการันตียอดขาย นั่นคือ ไม่มีการจ่ายเงินล่วงหน้า ไม่ต้องเสียเงินกับการโปรโมทสินค้า แต่จะถูกหัก 10-15% ก็ต่อเมื่อสินค้าของเราถูกประมูลหรือเกิดการซื้อขายขึ้นแล้วเท่านั้น<br />
<br />
“วิธีนี้ทำให้ร้านเล็กมีโอกาสมากขึ้น ไม่อย่างนั้นก็คงไปสู้เชนใหญ่ๆ ไม่ได้ ด้วยการเริ่มต้นที่เขาไม่ต้องเสียอะไรเลย”<br />
แอพพลิเคชั่นโดนๆ ยังรวมถึงซอฟต์แวร์ด้านการขายและจัดส่งสินค้าผ่านมือถือ โปรแกรมบริหารการขายบนแอนดรอยด์แท็บเล็ต โปรแกรมบริหารจัดการงานบำรุงรักษาและบริการหลังการขาย ตลอดจนระบบรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตบนโทรศัพท์มือถือ ที่เอสเอ็มอีสามารถเข้าไปศึกษาและหาทางปรับใช้กับกิจการของตัวเองได้<br />
<br />
ซึ่งเจ้าของโครงการตั้งเป้าว่าจะมีเอสเอ็มอีเข้าร่วมกว่า 250 กิจการ และสามารถลดต้นทุนและเพิ่มยอดขาย ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน<br />
อยากเป็นเถ้าแก่สุดสมาร์ท ลองเรียนรู้วิถีรวยจากสมาร์ทโฟนในมือคุณได้<br />
.......................<br />
Key to success<br />
เอสเอ็มอี ยุค 3G<br />
๐เลือกแอพพลิเคชั่นช่วยงานทั้งหลังบ้านและหน้าบ้าน<br />
๐ สะดวก คล่องตัว ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา<br />
๐ ลงทุนอย่างฉลาด<br />
๐ ตามเทรนด์ของโลกยุคใหม่ให้ทัน<br />
๐ ศึกษา เรียนรู้ และปรับตัวให้ไว ไม่หยุดนิ่ง<br />
<br />
<br />
โดย จิราวัฒน์ คงแก้ว<br />
กรุงเทพธุรกิจ 10 เมษ 56<br />
<a href="http://bit.ly/14K1mTP">http://bit.ly/14K1mTP</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-41492967522784492292013-04-01T10:16:00.000+07:002013-04-01T10:16:08.009+07:00เบื้องหลัง “ทฤษฎีการตลาดก้องโลก” ของ ‘ฟิลิป คอตเลอร์’<strong>“ฟิลิป คอตเลอร์”ระเบิดความคิด ธุรกิจไม่เพียงขายของ เรียกร้องแต่กำไรเยอะๆ แต่ต้องมีส่วนสร้างโลกให้น่าอยู่ ดูเป็นเรื่องอุดมคติแต่เกิดขึ้นจริง</strong><br />
<strong></strong><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRzXHaX3zN0bVCcHRWUYC_QC8PWsu-QP4UuKIDSmH5kw7Au0_B_Vr3DYLUvwagf8meGJe3uGM9rMH-af-iSpkMXUlpELcbESZMZa00gdoIcgNMNNe7XzFFweFxqbliYbWbRAtBw32YV0g/s1600/news_img_495301_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="223" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRzXHaX3zN0bVCcHRWUYC_QC8PWsu-QP4UuKIDSmH5kw7Au0_B_Vr3DYLUvwagf8meGJe3uGM9rMH-af-iSpkMXUlpELcbESZMZa00gdoIcgNMNNe7XzFFweFxqbliYbWbRAtBw32YV0g/s320/news_img_495301_1.jpg" width="320" /></a></div>
<strong></strong><br />
<strong></strong><br />
<strong>ฟิลิป คอตเลอร์</strong> ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านการตลาดระหว่างประเทศ ประจำคณะบริหารธุรกิจ The Kellogg School of Management มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิร์น สหรัฐอเมริกา เขาคือนักเศรษฐศาสตร์ผู้ผันตัวเองไปเป็นนักคิด นักวางแผนการตลาด ถูกยกย่องให้เป็นกูรูการตลาดผู้วางชั้นเชิงกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจได้อยู่หมัด จากการผู้อ่านโลกและเทรนด์การตลาดยุคหน้าที่ใช่<br />
กูรูผู้นี้ยังอยู่เบื้องหลัง เป็นที่ปรึกษาในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดองค์รวม ตลอดจนการตลาดระหว่างประเทศ ให้กับคอร์เปอเรทชั้นนำ อาทิ IBM, General Electric (GE), AT&T, Honeywell, Bank of <br />
<br />
America, Merck รวมไปถึงให้คำปรึกษาไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะและตำแหน่งบุคลากร รวมถึงทรัพยากร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน<br />
<br />
สาวกทางการตลาดทั้งอาจารย์และคนมีชื่อเสียง รวมถึงนักการเมืองในไทยหลายรายต่างเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านปรมาจารย์คอตเลอร์ อาทิ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการ Sasin Institute for Global Affairs (SIGA) ทั้งสองท่านเป็นคีย์แมนผู้เคยวางยุทธศาสตร์ประเทศ (ไทยแลนด์ อิมเมจ) เมื่อครั้งร่วมงานกับรัฐบาล<br />
<br />
คอตเลอร์ เขียนหนังสือมาแล้วกว่า 50 เล่ม ได้รับการตีพิมพ์ผลงานลงในวารสารและสิ่งพิมพ์ชั้นนำกว่า 150 บทความ ตลอดจนเป็นเจ้าของตำรา Marketing Management ที่เหล่านักศึกษาด้านการตลาดตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 (ค.ศ.1967) จนปัจจุบันถูกนำมาพัฒนาปรับปรุงใหม่แล้วกว่า 14 Editions<br />
<br />
คอตเลอร์ ผู้เฒ่าวัย 82 ผู้มีบุคลิกสวนทางกับอายุ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง มีความกระฉับกระเฉงในการสอน แม้เขาต้องบินไกลเพื่อมาสอนในหัวข้อ ”Values Driven Marketing” ที่จัดโดย นสพ.กรุงเทพธุรกิจ แต่กลับยังคงฉายภาพการเปลี่ยนผ่านยุครอยต่อของการตลาดได้อย่างคึกคัก มุ่งมั่น อัดแน่นด้วยองค์ความรู้<br />
เขาบอกว่าที่ทำแบบนี้ได้เพราะเขาเต็มไปด้วย passion ที่ใช้เป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตและจิตใจ อายุจึงไม่ได้เป็นอุปสรรค ลึกๆ ปรมาจารย์การตลาดผู้นี้หวังจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะใช้ความรู้ที่สั่งสมมาเพื่อออกแบบการตลาดเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีน่าอยู่ กระจายรายได้อย่างเท่าเทียม<br />
<a name='more'></a><br />
นั่นคือ”ต้นธาร”ความคิดที่คอตเลอร์ขับเคลื่อนออกแบบไปสู่กลยุทธ์การตลาดภาคต่อมาหลายเวอร์ชั่นที่มีเป้าหมายสุดท้ายให้องค์กรธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน โดยจะต้องคำนึงถึงสังคม และสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากสินค้าและผู้บริโภค <br />
<br />
เขาคือเจ้าของคำนิยามการตลาดเป็นมากกว่าการขายของ โปรโมชั่น แต่การตลาดคือกลยุทธ์ ให้ลูกค้ามองเห็นคุณค่าความเป็นแบรนด์ อย่างคำพูดที่เขาพูดบนเวทีว่า “Marketing is Everything”<br />
วิถีการตลาดที่เขาเป็นผู้ออกแบบมุ่งหวังเพื่อพัฒนาสังคม จึงสร้างทฤษฎีการตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) จนล่าสุดเขานำเราเดินไปสู่ยุค Marketing3.0 การตลาดครบทุกมิติ การตลาดที่ต้องเข้าถึงจิตวิญญาณมนุษย์<br />
<br />
ก่อนหน้านี้ ทฤษฎีการตลาดมวลชน (Mass Market) หรือยุค 1.0 เน้นการขายสินค้า (Product Centric) ขายความเป็น Mass เพราะผลิตจำนวนมากจนเกินความจำเป็น จึงต้องใช้การตลาดที่กระตุ้นการบริโภค หรือกระตุ้นกิเลสของคน จนถึงยุค 2.0 ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร (The Information Age) ต้องใช้การตลาดที่มุ่งเอาใจผู้บริโภคผู้รอบรู้ (Consumer Centric)<br />
<br />
คอตเลอร์ บอกว่า การตลาดที่ว่านี้ กำลังจะตายไปพร้อมกันกับการเปลี่ยนผ่านยุคเข้าสู่การตลาด 3.0 (Marketing3.0) ยุคที่กลับหัวคิดจากการตลาดยุคก่อน ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยค่านิยม ที่จะต้องอาศัยการตลาดครบทุกมิติ ทั้งการตลาดเชิงอารมณ์ (Emotional Marketing) และการตลาดเพื่อเอาชนะจิตวิญญาณ (Human Spirit Marketing) ตอบสนองความต้องการครบองค์รวมของความเป็นมนุษย์ ให้เข้าถึงแนบแน่นใกล้ชิดแบรนด์ไปตลอดกาล<br />
<br />
อะไรกันที่ทำให้เขาฉุกคิดทฤษฎีการตลาดโดนๆอย่างนี้ขึ้นมาได้ !!!<br />
<br />
ย้อนกลับไปกูรูการตลาดผู้นี้เกิดและเติบโตมาจากครอบครัวที่พ่อและแม่เป็นคนต่างถิ่นอพยพเข้ามาในสร้างรกรากเป็นเจ้าของร้านค้าในตอนเหนือของชิคาโก สหรัฐอเมริกา เขามีเชื้อสายรัสเซียผสมกับยูเครน<br />
เขาเกิดและเติบโตมายุคของเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) หลังผ่านยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือมุ่งผลิตสินค้าและทำการตลาดแบบ Mass ยุคธุรกิจมุ่งกอบโกยอย่างเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ทำให้เขาเห็นช่องว่างชนชั้นระหว่างคนรวยกับคนจน เกิดเป็นปมคำถามถึงความอยุติธรรมที่เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม ผู้มีอำนาจทางการเมือง คนรวย ได้รับสิทธิประโยชน์และเต็มไปด้วยโอกาสทางสังคม ผลพวงที่ทำให้คนยากจนที่ฉลาดปราดเปรื่อง ต้องขาดโอกาสทางการเข้าถึงการศึกษา<br />
<br />
“การเติบโตมาในยุควิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้เห็นปัญหาทางสังคมหลากหลายด้าน เป็นเหตุให้สนใจเรื่องการกระจายรายได้ประชากร ระหว่างกลุ่มเศรษฐีและคนจนที่แร้นแค้น ในขณะที่คนร่ำรวยผู้มั่งคั่งเป็นเจ้าของมรดกมหาศาล ผมรู้สึกผิดหวังทุกครั้งที่เจอคนวัยหนุ่มสาวที่หัวดีแต่ไม่มีเงินพอเข้าเรียน<br />
<br />
มหาวิทยาลัย ภาพของคนไร้บ้าน หรือคนหิวโหยอดอาหาร มันดลใจให้อยากไปสางปัญหา” เขาเอ่ยย้อนถึงปมปัญหาสังคมในการให้สัมภาษณ์สมาคมการตลาดเพื่อสังคมระหว่างประเทศ<br />
<br />
ภาพประสบการณ์คนยากไร้ที่เคยผ่านตาเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ แต่ผันไปเป็นเจ้าตำราทางการตลาด เพื่อต้องการส่งต่อความคิดให้กับภาคธุรกิจ ให้ขยายนิยามการตลาดให้มากไปกว่าเดิม <br />
<br />
นักการตลาดตัวจริง ในมุมมองคอตเลอร์เห็นว่า คือผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่หน่วยย่อยๆ ขององค์กร ที่เป็นแค่นักสื่อสารหรือสร้างภาพลักษณ์ เพื่อหวังขายของทำกำไร นั่นเป็นนักการตลาดรุ่นเก่า ที่ใช้ไม่ได้แล้ว<br />
<br />
คอตเลอร์มองว่า นักการตลาดยุคใหม่ ควรมีบทบาทที่ระดับผู้บริหารองค์กรไม่มองข้าม เพราะหมายถึงการกุมเข็มทิศวางกลยุทธ์สินค้าสู่การสร้างความยั่งยืนให้องค์กร<br />
<br />
ผู้บริโภคจะจงรักภักดีในแบรนด์ (Brand Royalty) แบรนด์นั้นจะโดนใจได้ ต้องมาจากการกำหนดวิศัยทัศน์ (Vision) และพันธกิจ (Mission)ที่ยิ่งใหญ่ขององค์กรที่แตกต่างจากสินค้าทั่วไป ผู้บริโภคต้องไม่เพียงชื่นชอบแค่ตัวสินค้า แต่ต้องหลงใหลในปรัชญาธุรกิจ ที่เป็นตัวสร้างค่านิยมเติมเต็มความเป็นมนุษย์ให้กับผู้บริโภค<br />
<br />
เขายกตัวอย่างผู้นำที่มีหัวคิดทางการตลาดจนมีผลทำให้สาวกหลงรักในแบรนด์อย่างแนบแน่น อาทิ อิงวาร์ แคมพราด ผู้ที่ทำให้อิเกีย (IKEA) กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์น็อคดาวน์ ที่มีราคาถูกกว่าทั่วไปแต่มีดีไซน์เยี่ยมและฟังก์ชันการใช้งานสะดวก (Make stylish furniture affordable)<br />
<br />
สตีฟ จ็อบส์ ผู้ที่ทำให้แอปเปิล (Apple) เป็นแบรนด์แห่งการพลิกโลกเปลี่ยนชีวิตทำให้คนสนุกกับการใช้เทคโนโลยี (Transform how people enjoy technology) ,แอนนิต้า ร็อคดิค ผู้สร้างบอดี้ช็อป (The Body Shop) ให้เป็นธุรกิจที่แนบติดกิจกรรมเพื่อสังคม (Embed social activism in business)<br />
<br />
โดยเขามองว่า แบรนด์ที่จะมีอายุยาวนานและทรงมูลค่า ในยุคโลกาภิวัตน์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในสังคมนานัปการได้นั้น จะต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ลุกขึ้นมาทวงถามให้แบรนด์สร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคมเขายังทิ้งท้ายว่าธุรกิจที่ไม่ดีมุ่งหวังเพียงกำไรโดยไม่มีเรื่องราวและพันธกิจระยะยาวเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น หวังผลทำเงินได้เพียงระยะสั้น ไม่ช้าไม่นานธุรกิจจะหายไปจากตลาด บางธุรกิจเน้นขายของถูกก็ต้องลดต้นทุนไปตลอดจนไม่เหลืออะไร บางธุรกิจสูญหายไปพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาแทนที่<br />
<br />Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-47664839853896865882013-04-01T09:49:00.002+07:002013-04-01T09:51:15.158+07:00สื่อดิจิตอลร้อนแรงจัด นักการตลาดตอมฉุดแพลตฟอรืมใหม่เกิด <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEja9U7nIshkE95g_KX27XqOlCMasDck7WxAJXPMws9qMkVDsQob3pYV_pnOpOhuSqdQ105WTPvldtBFKi28PQ3XEkT6YsaUY-vXy0kYTWmnc3cF-C-1SXjJ_a3HPrtympv8VuvTyO4JKi8/s1600/200x208-images-stories-article2013-2831-1701.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEja9U7nIshkE95g_KX27XqOlCMasDck7WxAJXPMws9qMkVDsQob3pYV_pnOpOhuSqdQ105WTPvldtBFKi28PQ3XEkT6YsaUY-vXy0kYTWmnc3cF-C-1SXjJ_a3HPrtympv8VuvTyO4JKi8/s320/200x208-images-stories-article2013-2831-1701.jpg" width="307" /></a></div>
<br />
"ดิจิตอล มีเดีย"เนื้อหอมสุดๆ เอเยนซีโหมทุ่มงบลุยตลาดจริงจัง "กรุ๊ปเอ็ม" เผย 4
เทรนด์ใหม่นักการตลาดรุมเล่น จับตาคลิปวิดีโอยังมาแรง ด้าน "ธอมัสไอเดีย"
คาดตลาดหนังสือ นิตยสารลดลงหนีสื่อรูปเล่มเข้าสู่แพลตฟอร์มใหม่ <br />
<br />
ล่าสุดจับมือเอ็กซ์เอ็มเอเชียชูจุดแข็งสู่เครือข่ายดิจิตอลเอเยนซีแห่งเอเชีย
ขณะที่สื่อโฆษณาดิจิตอลในประเทศไทยปีนี้จะขยายตัวสูงเพิ่มขึ้นเป็น 5%
จากมูลค่าสื่อทั้งหมด 1.2 แสนล้าน<br />
การเติบโตอย่างร้อนแรงของสื่อดิจิตอลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลงง่ายๆ ในทางตรงข้าม
กลับมีบทบาทและถูกจับตามองว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการสื่อเมืองไทย
โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี เส้นทางของสื่อดิจิตอล
จะกลายเป็นผู้นำด้วยแพลตฟอร์มใหม่ๆ
ซึ่งผู้ประกอบการไทยเองไม่ว่าจะในแวดวงใดก็ต้องเรียนรู้ที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />
<br />
โดยเรื่องดังกล่าวนายศิวัตร เชาวรียวงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท
เอ็มอินเตอร์แอ็คชั่น จำกัด เปิดเผยว่า
ปีนี้บริษัทมองว่าสื่อดิจิตอลจะขยายตัวมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา
อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะถูกนำไปใช้ผ่าน 4 รูปแบบ ประกอบไปด้วย <br />
<br />
1. Integrated
การวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
โดยสำรวจจากลูกค้าที่เสิร์ชหาข้อมูลผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด ว่ามาจากเว็บใดและซื้อที่ไหน
<br />
<br />
2. DSPs (Demand Side Platforms) นักการตลาดจะเลือกซื้อสื่อออนไลน์เฉพาะกลุ่ม
เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันฉลาดมากขึ้นอีกทั้งยังช็อปปิ้งผ่านทางออนไลน์มากกว่าเดิม
ดังนั้นนักการตลาดจำเป็นจะต้องใช้เงินของลูกค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />
<a name='more'></a><br />
3.VDO สื่อโฆษณาที่จะถูกแทรกเข้ามากับรายการ ละคร บนยูทูบและเว็บไซต์ต่างๆ
ทั้งโฆษณารูปแบบสั้นตั้งแต่ 30 วินาที หรือโฆษณาความยาว 5 นาที
รวมถึงการนำสื่อที่เคยออกอากาศบนทีวี มาฉายซ้ำบนอินเตอร์เน็ต 4.
การจัดสรรงบโฆษณาใหม่ จากเดิมจะเป็นรูปแบบการจ่ายเงินซื้อสื่อต่างๆให้ครอบคลุม
แต่ในปีนี้นักการตลาดจะหันมาเล่นด้านคอนเทนต์ให้มีความแปลกใหม่ สร้างสรรค์
พร้อมทั้งต้องใช้กลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ต่อยอด<br />
<br />
"เงินทุกบาทที่จ่ายไปกับค่าโฆษณา ทุกสื่อมีโอกาสสูญเปล่า
เพราะบางกลุ่มอาจจะไม่ตรง
แต่ในแง่ของสื่อดิจิตอลทุกเว็บสามารถวัดความสนใจของผู้ที่เข้ามาดูได้
ว่ามีจำนวนเท่าไร
และนักการตลาดสามารถเลือกจ่ายค่าสื่อโฆษณาได้ตามความต้องการด้วยอัตราเรตราคาไม่เท่ากัน
และราคาถูกกว่าสื่อออฟไลน์หลายเท่าตัว" นายศิวัตร กล่าว<br />
<br />
ขณะเดียวกันในอนาคตบริษัทมองว่าเอเยนซีต่างๆจะให้ความสำคัญกับตลาดดิจิตอลมากขึ้น
พร้อมทั้งการเสนองานลูกค้า ต้องไม่คัดหน้าตาสินค้าเหมือนกับอดีต
แต่ควรเน้นที่การปฏิบัติ ต้องคิดเพียงแค่ทำอย่างไรให้ขายของได้
หากเอเยนซีในปัจจุบันไม่คำนึงถึงสิ่งนี้มากตลาดดิจิตอล
มีเดียในประเทศไทยก็จะเหมือนกับตลาดต่างประเทศที่เน้นแต่เรื่อง performance<br />
<br />
นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ผลประกอบการสื่อดิจิตอลของเอเยนซีต่างๆ กว่า 20 บริษัท
ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีอัตราการเติบโตเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยเฉพาะผลประกอบการของบริษัททั้งปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 30-40%
ซึ่งภายในสิ้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เติบโตกว่า 40-50%<br />
<br />
ด้านนางสาวอุไรพร ชลสิริรุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธอมัสไอเดีย
จำกัด ผู้ให้บริการด้านสื่อดิจิตอล กล่าวว่า
ภาพรวมตลาดดิจิตอลมีเดียในปีที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดี
เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร อาทิ
สมาร์ทโฟนมากขึ้น
อีกทั้งมาจากการที่อุปกรณ์แพร่หลายและมีโซเชียลมีเดียมากมายให้แบรนด์ต่างๆเข้าไปใช้พื้นที่
และพบว่าผู้บริโภคไทยเกือบทุกกลุ่มใช้ช่องทางออนไลน์เป็นสื่อหลัก
และเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อสินค้าพร้อมกับซื้อของออนไลน์มากขึ้น<br />
<br />
ขณะที่แนวโน้มแบรนด์ดังของโลกเปลี่ยนมุมมองใหม่
จากเดิมที่เคยมองว่าสื่อดิจิตอลเป็นเพียงเครื่องมือในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์
แต่ปัจจุบันเริ่มใช้เทคโนโลยีสร้างรายได้ผ่านการสร้างแบรนด์ข้ามโลกและลงทุนกับระบบดิจิตอลคอมเมิร์ซมากขึ้น
ซึ่งวันนี้นักการตลาดไทยเองก็ควรใช้สื่อดังกล่าวมาสร้างให้เกิดประโยชน์
นอกจากนี้บริษัทมองว่าสื่อออฟไลน์ เช่น หนังสือและนิตยสารที่เป็นรูปเล่ม
จะหายไปในอนาคต
แต่คอนเทนต์จะยังไม่หายไปแต่จะย้ายแพลตฟอร์มาสู่บนอินเตอร์เน็ตแทน <br />
<br />
"การลงทุนในต่างประเทศผ่านดิจิตอลคอมเมิร์ซกำลังมาแรง
จากนี้ไปข้อมูลที่ได้จากการคลิกแต่ละครั้ง
คือขุมทรัพย์ข้อมูลที่แบรนด์ต้องนำมาวิเคราะห์
ทำการบ้านและคิดโปรโมชันอย่างไวและช่วยให้แข่งกับกลไกการตลาดออนไลน์ของคู่แข่งจากทุกมุมโลกได้
<br />
<br />
ในขณะที่มูลค่าของสื่อออนไลน์ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่สัดส่วน 5%
ของสื่อโฆษณาทั้งหมดจากงบโฆษณา 1.2 แสนล้านบาท" นางสาวอุไรพร กล่าว<br />
<br />
ล่าสุดบริษัทได้ร่วมหุ้นกับบริษัท เอ็กซ์เอ็ม เอเชีย แปซิฟิก จำกัด
ดำเนินธุรกิจดิจิตอลเอเยนซีในเชิงลึกมากขึ้น
เนื่องจากบริษัทดังกล่าวทำการตลาดให้กับมาสเตอร์การ์ดทั่วโลก
ย่อมมองเห็นช่องทางดิจิตอลที่สำคัญ
ส่วนแผนงานที่บริษัทมีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจร่วมกัน คือรุกตลาดอาเซียน
พร้อมทั้งต่อยอดลูกค้าซึ่งกันและกัน
เพราะในปัจจุบันก็มีลูกค้าโลคัลของธอมัสไอเดียที่อยากไปทำตลาดต่างประเทศ
ขณะที่แบรนด์ต่างประเทศก็อยากทำตลาดออนไลน์ในประเทศไทยเช่นกัน<br />
<br />
นอกจากนี้บริษัทมีเป้าหมายระยะยาวภายใน 3-5 ปี จะขยายทีมงานดิจิตอลมากขึ้น
เพื่อรองรับกับสื่อดังกล่าวที่จะเติบโต
พร้อมทั้งดึงกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ทำตลาดออนไลน์ให้เข้ามาทำ
และเน้นกลยุทธ์สร้างความคุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าจ่ายมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตอยู่ที่ 20-40%
จากเดิมในปีที่ผ่านมาเติบโตอยู่ที่ 20%<br />
<br />
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,831<br />
วันที่ 31 มีนาคม - 3
เมษายน พ.ศ. 2556Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-26721241360374217652012-09-18T10:16:00.003+07:002012-09-18T10:16:39.192+07:00QR Code ทำได้ “ห้องสมุดเสมือนที่ป้ายรถเมล์”<span style="background-color: white; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px;">เมืองหนึ่งในประเทศออสเตรียนั้นบรรจุห้องสมุดเสมือนไว้ในสติกเกอร์พิมพ์ลาย QR code สำหรับนำไปติดไว้ตามสถานที่สาธารณะ </span><strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ซึ่งเมื่อประชาชนพบเห็น ก็จะสามารถดาวน์โหลดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรือ e-book ไปอ่านได้บนอุปกรณ์ของตัวเอง</strong><br />
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></strong>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiq-TWmd5uBxIAVltermsmQax_2w4u2xgC13YgJ_hprh4oYdvO7dv1pXg-C63GaEbSJsLpLgtoxxwNDz4fNRauktZlOhZ7g45xIBQlTmaxDmSY7GZGUAmPIXTFR4U_jjHHU8RYtTRzO124/s1600/austria1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="198" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiq-TWmd5uBxIAVltermsmQax_2w4u2xgC13YgJ_hprh4oYdvO7dv1pXg-C63GaEbSJsLpLgtoxxwNDz4fNRauktZlOhZ7g45xIBQlTmaxDmSY7GZGUAmPIXTFR4U_jjHHU8RYtTRzO124/s400/austria1.jpg" width="400" /></a></div>
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></strong>
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-weight: normal;">โครงการนี้ใช้ชื่อว่า</span><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> Projekt Ingeborg</strong><span style="font-weight: normal;"> ขณะนี้มีการพิมพ์สติกเกอร์ 70 ชิ้นซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยี QR code และ NFC โดยจะนำไปติดไว้ในพื้นที่สาธารณะที่มีประชาชนจำนวนมากผ่านไปมา ทั้งหมดนี้เริ่มดำเนินการแล้วในเมือง Klagenfurt ของออสเตรียช่วงต้นปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความเห็นจากประชาชนที่รู้สึกว่าห้องสมุดเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น</span></strong><br />
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-weight: normal;"><br /></span></strong>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFdh_DqoxGGrpLcrlQP7NVs182FG0thMccKfFpbkb_7MRV5-tx8m-ppWUzUeBkTH9SG_jNTZrXgtd4XOkkbQeDi9Ke7L89-LifhsI-z0wOc6pcEI86jtHcVF6dWPyz3IIXN6QH8hs5MSI/s1600/austria2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="203" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFdh_DqoxGGrpLcrlQP7NVs182FG0thMccKfFpbkb_7MRV5-tx8m-ppWUzUeBkTH9SG_jNTZrXgtd4XOkkbQeDi9Ke7L89-LifhsI-z0wOc6pcEI86jtHcVF6dWPyz3IIXN6QH8hs5MSI/s400/austria2.jpg" width="400" /></a></div>
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-weight: normal;"><br /></span></strong>
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-weight: normal;">เมือง Klagenfurt เป็นเมืองที่ไม่มีห้องสมุดสาธารณะ โครงการนี้จึงเกิดขึ้นบนความร่วมมือกับหน่วยงานขนส่งมวลชนในเมืองเพื่อติดสติกเกอร์ QR code สีเหลืองสดที่มองเห็นได้ง่าย โดยทั้งหมดจะเป็นช่องทางให้ผู้ใช้ได้อ่านหนังสือที่ต่างกัน 70 เรื่อง คาดว่าจะมีการขยายกลุ่มไปยังนักเขียนรุ่นเยาว์เพื่อขยายกลุ่มผู้อ่าน</span></strong><br />
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-weight: normal;"><br /></span></strong>
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-weight: normal;">ก่อนหน้านี้ ประเทศสเปนก็เคยรณรงค์ให้ประชาชนรักการอ่านในโครงการ National Reading Plan ด้วยการใส่ลิงก์เนื้อหาบทแรกของหนังสือลงใน QR code ซึ่งถูกติดไว้ที่รถไฟสาธารณะ </span><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ตอกย้ำว่านี่เป็นเทรนด์แรงที่ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ไม่ควรมองข้าม</strong></strong><br />
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></strong></strong>
<strong style="background-color: white; border: 0px; color: #555555; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></strong></strong>
<span style="color: #555555; font-family: Tahoma;"><span style="font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px;">บทความจาก marketingoops</span></span><br />
<span style="color: #555555; font-family: Tahoma;"><span style="font-size: 12px; line-height: 19.200000762939453px;">http://bit.ly/OBmmoR</span></span>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-1794366024903820932012-09-14T07:36:00.002+07:002012-09-14T07:36:26.090+07:00"โนเกีย" เมื่อผู้นำเป็นผู้ตาม แค่เพลี่ยงพล้ำ แต่(ยัง)ไม่แพ้ ?<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwmxgD6ijlbhQUFo890DZfd2b6TkKCjp7z6b5jqy23rKk2Uh001mmfkou7t99Xq2gWpCWpMTSFsjb2lXnLFIi5VWMNwhpUI8hKRjrko_56dCCbnRw10AOmiCz7_h4mzpJjVjLwZ8W2Ggk/s1600/nokia-lumia-900-official-109.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" hea="true" height="261" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwmxgD6ijlbhQUFo890DZfd2b6TkKCjp7z6b5jqy23rKk2Uh001mmfkou7t99Xq2gWpCWpMTSFsjb2lXnLFIi5VWMNwhpUI8hKRjrko_56dCCbnRw10AOmiCz7_h4mzpJjVjLwZ8W2Ggk/s320/nokia-lumia-900-official-109.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
สำหรับผู้นำตลาดที่ยืนยงคงกระพันมานานนับสิบปี อย่าง "โนเกีย" คงยากทำใจเหมือนกันที่มาวันนี้ต้องอยู่ในสถานะผู้ตามในสมรภูมิ "สมาร์ทโฟน" ซึ่งเป็นอนาคตของธุรกิจนี้ <br />
<br />
<br />
ในภาพรวม "โนเกีย" อาจยังรักษาสถานะผู้นำอันดับหนึ่งเอาไว้ได้ แต่ถ้าโฟกัสเฉพาะ "สมาร์ทโฟน" ในตลาดโลก ณ ไตรมาสที่ 2 ปีนี้ เสียแชมป์ให้ "ซัมซุง" ไปแล้วร้อย ในเมืองไทยก็ไม่แตกต่างกันนัก <br />
<br />
"ตลาด ที่เริ่มเทไปยังสมาร์ทโฟนมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นไฮเอนด์ ซึ่งเราไม่สามารถลงไปได้เพราะไม่มีภาษาไทยให้ใช้ แต่ถ้ามองเครื่องระดับเริ่มต้นถึงกลาง เรายังไปได้ รวมถึงฟีเจอร์โฟนยังคงเป็นจุดแข็งที่ทำให้โนเกียยังคงมีมาร์เก็ตแชร์เป็น เบอร์ 1 ในแง่จำนวน" แกรนท์ แมคบีธ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับ <br />
<br />
กลางสมรภูมิการแข่งขันที่ดูเหมือนว่า "ผู้นำ" จะตกเป็นรอง หนักแค่ไหนไม่รู้ แต่ร้านขายเครื่องมือสองบางแห่งถึงขั้นไม่ยอมรับซื้อสมาร์ทโฟนมือสองของโน เกีย <br />
<br />
ความภักดีในแบรนด์ "โนเกีย" ที่เชื่อว่ายังอยู่ จะช่วยให้ "โนเกีย" ยืนระยะในฐานะผู้นำตลาด (ในแง่จำนวนเครื่อง) ได้อีกนานแค่ไหน<br />
<br />
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับกรรมการผู้จัดการ โนเกีย ประเทศไทย ดังนี้<br />
<a name='more'></a><br />
- ถ้าให้มองตลาดไทยว่าเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ <br />
<br />
ตลาด มือถือในประเทศไทยถือว่าเติบโตขึ้นตลอด เมื่อมองมูลค่าตลาดโตกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แบ่งเป็นสมาร์ทโฟนกว่า 75% ที่เหลือเป็นฟีเจอร์โฟนจากหลายปัจจัย เช่น อายุการใช้โทรศัพท์ปัจจุบันคงเหลือ 1 ปีแล้วสำหรับสมาร์ทโฟน<br />
<br />
เมื่อ มองภาพรวมจะอยู่ที่ 2 ปี จากเดิม 3 ปี รวมถึงเรื่องการใช้ 3G และแอปพลิเคชั่นเกี่ยวกับการถ่ายภาพ และโซเชียลเน็ตเวิร์กต่าง ๆ ด้วย ส่วนในแง่ตัวเครื่องปลายปีนี้น่าจะอยู่ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน<br />
<br />
- ถ้ามองแค่โนเกีย<br />
<br />
ตอน นี้ฟีเจอร์โฟนยังเป็นตัวหลักของเราในการทำรายได้ ผู้บริโภคยังคงมีแบรนด์ loyalty ในโนเกีย รองลงมาจะเป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มเริ่มต้น เช่น ซีรีส์ Acha ที่ทำตลาดได้ค่อนข้างดี (3-4 พันบาท) <br />
<br />
แต่หลังจากมีลูเมียรุ่นใหม่ บริษัทมองว่าจะทำให้รายได้จากกลุ่มสมาร์ทโฟนไฮเอนด์เพิ่มขึ้น โดยมีการเติบโตมากกว่าเลขสองหลัก<br />
<br />
- การทำตลาดลูเมียในไทยเป็นอย่างไรบ้าง<br />
<br />
ตั้งแต่ เปิดตัวมาในช่วงต้นปี ยอดขายพอใจแต่เราไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องได้เท่าไร เพราะอย่างที่รู้กันคือไม่มีภาษาไทย ทำให้การหวังเจาะตลาดไทยแทบเป็นไปไม่ได้ การนำเข้ามาทำตลาดจึงเพื่อสร้างความรู้ให้ผู้บริโภคเรื่องระบบปฏิบัติ การวินโดวส์โฟน 7.5 และเตรียมพร้อมช่องทางจำหน่ายหลังการเปิดตัววินโดวส์โฟน 8 มากกว่า<br />
<br />
- ร้านขายเครื่องมือสองไม่รับซื้อเครื่องโนเกียบอกขายยาก<br />
<br />
ผมไม่มีข้อมูลเรื่องนี้<br />
<br />
- เพิ่งเปิดตัว 2 รุ่นใหม่ในซีรีส์นี้<br />
<br />
เรา เปิดตัวในงาน "โนเกีย เวิลด์" (5 ก.ย.) รุ่น 920 และ 820 ทั้งสองตัวใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 มีจุดเด่นเรื่องการถ่ายภาพ โดยรุ่น 920 มาพร้อมความละเอียด 8.7 ล้านพิกเซล เทคโนโลยี Pure View ป้องกันการสั่นระดับสูง ส่วนรุ่น 820 ลดความละเอียดเหลือ 8 ล้านพิกเซล ทั้งคู่ใช้ซีพียูดูอัลคอร์ 1.5 GHz แรม 1 GB ทั้งวันวางตลาดและราคายังไม่ได้ประกาศออกมา แต่ปลายปีนี้คนไทยได้ใช้แน่<br />
<br />
- ความแตกต่างของรุ่นเดิมกับรุ่นใหม่<br />
<br />
อย่าง แรกคือ วินโดวส์โฟน 8 และมีภาษาไทยใช้เต็มรูปแบบ มีการพัฒนาฟังก์ชั่นต่าง ๆ เช่น ปรับหน้าตาการใช้ หรือ UI ใหม่ จากเดิมมีไอคอนขนาดเดียวก็ปรับขนาดได้ตามความสำคัญ ทำให้สะดวกในการใช้มากขึ้น ทั้งยังเชื่อมต่อกับวินโดวส์ 8 บนเครื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพีซี, โน้ตบุ๊ก หรือแท็บเลตได้รวดเร็ว<br />
<br />
- ค่ายอื่นก็มีสมาร์ทโฟนวินโดวส์โฟน 8 <br />
<br />
ซัมซุงเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานนี้ รวมถึงแบรนด์อื่น ๆ ก็จะเปิดตัวปลายปี ทุกค่ายน่าจะหันไปเน้นโปรดักต์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มากกว่า เพราะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจมาตั้งแต่แรก รวมถึงวินโดวส์โฟนค่อนข้างใหม่จึงน่าจะออกมาเพื่อลองตลาดเท่านั้น แต่กับเราเมื่อมองในภาพรวมตลาดโลก โนเกียเเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟนได้มากที่ สุด<br />
<br />
การมาของวินโดวส์ 8 น่าจะต่อยอดธุรกิจได้ดีกว่าเดิม<br />
<br />
- เปิดตัวใกล้รุ่นก่อนมาก<br />
<br />
เรา เริ่มทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ไตรมาส 2 จะเรียกว่าสั้นก็สั้น แล้วแต่คนมองมากกว่า แต่ได้เตรียม CRM แคมเปญ เพื่อดึงลูกค้าที่ใช้ลูเมียอยู่แล้วมาใช้ 2 รุ่นใหม่นี้ด้วย จะเป็นการลดราคาหรือรูปแบบอื่น ๆ ขอยังไม่บอก และเตรียมเครื่องเดโมกว่า 1 พันตัว ให้ทดลองใช้ในช็อปกว่า 28 แห่ง และคอร์เนอร์ทั่วประเทศ<br />
<br />
- ลูเมียรุ่นเก่ายังมีอยู่<br />
<br />
ถ้า เดินไปตามโนเกียช็อปจะเห็นว่าซีรีส์ลูเมียทุกตัวมีการลดราคาตั้งแต่วีกที่ แล้ว ประมาณ 10% ที่ลดไม่ใช่ว่าจะโหมตลาด แต่เพื่อระบายของรองรับการมาของ 2 รุ่นใหม่ เช่น รุ่น 900 ซึ่งเป็นเรือธงลดจาก 18,000 บาท เหลือ 15,900 บาท ส่วน 800 ลดจาก 15,400 เหลือ 11,900 บาท <br />
<br />
- มีอะไรอีกบ้าง นอกจากลดราคาและมีรุ่นใหม่<br />
<br />
จุด เด่นของเราคือแอปพลิเคชั่นกว่า 1 แสนที่เพิ่มขึ้นทุกวัน และมีการสนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ รวมถึงนักพัฒนาในไทยเข้ามาเปิดแอปบนระบบนี้เพื่อให้การใช้แอปพลิเคชั่นกับ ร้านค้าในไทย หรืออะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศไทยมีมากขึ้น ผู้บริโภคที่มีดีไวซ์ยังสะดวกต่อการใช้งานในประเทศ คุยกับซอฟต์แวร์พาร์ค และเนคเทคแล้ว ไมโครซอฟท์ยังเปิด "DevCenter" ซัพพอร์ตนักพัฒนาด้วย<br />
<br />
- มั่นใจว่าลูเมียจะไปได้ดี<br />
<br />
ถ้า เทียบกับตลาดโลก สมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบวินโดวส์โฟนโตกว่าไอโอเอส และแอนดรอยด์ ยอดจำหน่ายวินโดวส์โฟนก็มาจากโนเกียมากที่สุด ดังนั้นรุ่นใหม่ต้องไปได้ดีแน่ ส่วนในไทยรุ่นแรกไม่มีภาษาไทย แต่ 2 รุ่นใหม่มีภาษาไทยแน่นอน ทำให้โอกาสที่จะไปได้ดีเป็นไปได้มาก <br />
<br />
เมื่อพูดถึงวินโดวส์โฟน ต้องนึกถึง "โนเกีย" เป็นอันดับแรก<br />
<br />
<br />
บทความจากประชาชาติธุรกิจ <br />
<a href="http://bit.ly/QU8bvJ">http://bit.ly/QU8bvJ</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-43949404337123074202012-09-14T07:27:00.001+07:002012-09-14T07:27:26.981+07:00โลกยุค 3.0 ปลุกกระแส Faith Marketing<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBJYGEr0OpwzQTHXjxM70ryYO_IygZV5en7IsWmU2TmVGV77tqlfEUIkY2K9Ju1rqqUfJJHzpk1Kl15RSpYxDOx2yOYjUbAAmLXOZNzOU_4VZLkGPi82chmVpSBZwOhx6APE2G-N-Np90/s1600/news_img_469269_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" hea="true" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBJYGEr0OpwzQTHXjxM70ryYO_IygZV5en7IsWmU2TmVGV77tqlfEUIkY2K9Ju1rqqUfJJHzpk1Kl15RSpYxDOx2yOYjUbAAmLXOZNzOU_4VZLkGPi82chmVpSBZwOhx6APE2G-N-Np90/s400/news_img_469269_1.jpg" width="328" /></a></div>
<br />
<br />
<strong>โลกเปลี่ยนเร็ว แข่งขันสูง ทุกข์มาก ต้องการที่พึ่ง ส่งให้ "การตลาดความศรัทธา"เกิดขึ้นหลากอีเวนท์ สนองจริตของผู้คน นี่คือปรากฎการณ์ วันนี้</strong><br />
<br />
พุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านกาลเวลานับพันปี ในหลากหลายนิกายและลัทธิความเชื่อของผู้ถ่ายทอด บนเป้าหมายเดียวกันคือ การมุ่งหาหนทางแห่งการดับทุกข์ <br />
<br />
<br />
ทว่าภายใต้บริบทของโลก (สังคม เศรษฐกิจ ธุรกิจ ภัยธรรมชาติ ฯลฯ) ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ในโลกยุค 3.0 การหา "ที่ยืน" ในสังคมเป็นเรื่องยากกว่าเดิม จากการแข่งขัน (แก่งแย่ง) ที่มีมากขึ้น ภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัด
สิ่งเหล่านี้ทำให้ "คนทุกข์มากขึ้น" !!!
<br />
<br />
สิ่งที่เห็นในไทย "ธรรมะ" กลายเป็นหนทางเยียวยาจิตใจยอดฮิต สังเกตจากผู้คนในปัจจุบัน ที่หันหน้าเข้าหาวัด หรือ สถานปฏิบัติธรรม กันมากขึ้น ผ่านการส่งสารอธิบายหรือแปลความธรรมะในหลากหลายกิจกรรม (อีเวนท์) ขึ้นอยู่กับจริตของผู้คนในระดับปัจเจก ที่มักจะล้อไปกับความก้าวล้ำของเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในสังคม (บางส่วน) ให้ "อดทนต่ำ" ลง<br />
<br />
นักการตลาดเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า "การตลาดบนความศรัทธา" (Faith Marketing) <br />
<br />
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฉายภาพความศรัทธาที่ถูกสื่อสารผ่าน "กิจกรรม" ด้วยหลากวิธีการนำเสนอ (Presentation) "แบบไม่มีผิด ไม่มีถูก" เหมือนอาหารที่ใครชอบแบบไหนก็เสพแบบนั้น ภายใต้ผลลัพธ์เดียวกัน คือ การเยียวยาจิตใจผู้คน (รู้สึกอิ่ม มีความสุขที่ได้เสพ)<br />
<br />
<br />
ถือเป็นการปรับรูปแบบการนำเสนอธรรมะ ให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้คนในสังคมที่เปลี่ยนไป ! <br />
<br />
จริตของผู้คนที่ชอบ "ความเร็ว" ในแบบฉบับไฮสปีด ธรรมะต้อง"เข้าถึงง่าย"เมื่อคิดว่าตัวเองมีทุกข์ และแปลงความทุกข์เป็นเรื่องของกรรมเก่า ก็ต้อง "ตัดกรรม แก้กรรม สแกนกรรม ดีลีทกรรม" ในทางการตลาดนี่คือหนึ่งในโปรดักท์ที่ถูกนำเสนอให้เข้ากับจริตผู้คน แถมกระแสยังแรง สังเกตจากหนังสือที่มีเนื้อหาเหล่านั้น มักจะติดเบสท์เซลเลอร์<br />
<a name='more'></a><br />
“สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน ?" กิจกรรมของสำนักปฏิบัติธรรมสำนักหนึ่ง ที่ใช้เทคโนโลยีแอนิเมชันเสมือนจริง จำลองให้เห็นภาพชีวิตหลังความตายของสตีฟ จ็อบส์ ซีอีโอ Apple ว่าไปเกิดเป็น "ภุมมะเทวาสายวิทยาธรกึ่งยักษ์” สร้างความตื่นตะลึงบนโลกไซเบอร์ไม่น้อย ถือเป็นกระบวนการสร้าง "กิมมิก" ผ่านเซเลบคนดังระดับโลก ที่เป็นไอดอลของคนหลายสิบล้านคนทั่วโลก
<br />
<br />
นักการตลาดรายหนึ่งวิเคราะห์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่อาจวิจารณ์ได้ว่า "ถูกหรือผิด" เพราะศาสนาและความเชื่อเป็นคำตอบทางจิตใจของมนุษย์ ที่แตกต่างกัน ต้องการค้นหาคำตอบให้กับชีวิตแตกต่างกัน คำตอบนั้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป แต่ขอให้ทำแล้วรู้สึกมีความสุข มีจิตใจที่สงบลงได้นั่นคือเป้าหมาย <br />
<br />
ด้าน ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า กระแสสังคมในปัจจุบันเริ่มหันกลับมาสนใจศาสนาและความเชื่อเพิ่มขึ้น เป็นปรากฏการณ์สะท้อนให้เห็นว่า สังคมสับสนวุ่นวาย เกิดภาวะแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ<br />
<br />
เมื่อเป็นเช่นนี้ "คนแพ้ หรือคนผิดหวัง ก็ย่อมมากขึ้นเป็นธรรมดา"<br />
<br />
กลุ่มคนกลุ่มนี้ อีกภาคหนึ่งจึงต้องการแสวงหาคำตอบทางจิตใจ ให้พ้นจากทุกข์ (เพราะแพ้ เพราะผิดหวัง) <br />
<br />
"สินค้าตอบสนองความสุขได้เฉพาะร่างกายภายนอก แต่ทางจิตใจคนยังต้องการโปรดักท์ที่ใช่ให้กับตัวเอง" เขาวิเคราะห์<br />
<br />
โดยฟันธงลงไปว่า การตลาดบนความศรัทธาและความเชื่อ เป็นการตอบโจทย์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์ (Human Spirit) ซึ่งแสวงหาความต้องการนอกเหนือจากปัจจัยสี่ <br />
<br />
“คนยังต้องการหาคำตอบ อธิบายความสงสัยในตัวเองในความต้องการที่แตกต่างกันออกไป หากพบแนวทางที่ใช่สำหรับตัวเอง ก็จะเกิดเป็นความศรัทธา ความเชื่อ จน "ผูกติดกับแบรนด์" เช่น เราตั้งคำถามว่าทำไมฉันเกิดมาไม่สวย หากไปพบวิถีทางหนึ่งบอกว่าเป็นเพราะกรรมเก่าก็จบ เขาก็จะมีความสุขที่หาเหตุผลให้กับตัวเองได้ คำตอบนั้นไม่มีถูกหรือผิด แต่ถูกใจเจ้าตัวเป็นพอ” เขาอธิบาย<br />
<br />
ดร.วิเลิศ ยังบอกด้วยว่า ศาสนาและความเชื่อบางครั้งเป็นอารมณ์และความต้องการที่แตกต่างกัน จึงได้เกิดเป็นสำนักปฏิบัติธรรมและองค์กรศาสนาเกิดขึ้นมากมายเพื่อเป็น "ทางเลือก" ให้กับผู้คน รองรับความต่างในแต่ละเซ็กเมนท์ของความต้องการทางจิตใจ<br />
<br />
"บางคนชอบแอร์เมส ก็ชอบเฉพาะแบรนด์นี้ เหมือนกับการปฏิบัติธรรมที่รู้สึกดีกับสำนักฯนี้ ปฏิบัติแล้วมีความสุข สงบตอบโจทย์ชีวิตของตัวเองได้ เขาก็เลือกแบรนด์นั้น ศรัทธาแบรนด์นั้น" เขาเล่า<br />
<br />
รสนิยมความศรัทธาที่แตกต่างกัน จึงไม่ต่างจากการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือเป็นสาวกของแบรนด์ใดสักแบรนด์ ! <br />
<br />
เขายังเชื่อว่า "มูลค่าตลาดความเชื่อ" จัดเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงมากโดยเฉพาะในสังคมไทย เพียงแต่ไม่มีใครเคยรวบรวมตัวเลขไว้จริงจัง เพราะผู้ที่บริจาคทรัพย์จากความศรัทธาไปแล้ว มักจะไม่ต้องการถามหาคำตอบว่ายอดเงินนั้นไปอยู่ไหน<br />
<br />
ที่ผ่านมามีเพียงข้อมูลที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยกสิกร ที่ระบุถึงตัวเลขการทำบุญของคนไทยเฉลี่ยปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดพระเครื่องมีมูลค่าอยู่ที่ปีละ 20,000 ล้านบาท นั่นเป็นเพียงสาขาที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธา ยังมีอีกหลายโปรดักท์ความศรัทธาที่ไม่ได้ประเมินออกมาเป็นตัวเลขชัดๆ <br />
<br />
พระอาจารย์อนิล ธมมสากิโย (ศากยะ) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหามกุฎราชวิทยาลัย พระนักวิชาการมองศาสนายุค 2012 ในเชิงกรณีศึกษาว่า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถูกพัฒนาการตีความไปตามยุคตามสมัย <br />
<br />
“พระพุทธศาสนาในมุมมองใหม่ในกระแสทุนนิยม เช่น ธุรกิจล้มเหลว ทำให้เชื่อเรื่องกรรมมากขึ้น จึงมีเรื่องของการสแกนกรรม ตัดกรรม เป็นธรรมะแบบรวดเร็ว เรียกว่า มาม่า ยำยำ หรือธรรมะสำเร็จรูปตามความต้องการของตลาด” พระอาจารย์อุปมา<br />
<br />
ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจเคลื่อนไปเร็วเต็มไปด้วยการบริโภคนิยม วัตถุนิยม และทุนนิยม เงื่อนไขหลายด้านที่มากระทบกับการใช้ชีวิต เหล่านี้ทำให้ชีวิตผู้คนซับซ้อนขึ้น ทุกข์และเครียดมากขึ้น <br />
<br />
เขายังบอกด้วยว่า การที่ศาสนาจะดำรงอยู่และเข้าถึงคนได้ ส่วนหนึ่งต้องเกิดจากการปรับเปลี่ยน "แนวทางการนำเสนอ" ให้เข้ากับการรับรู้ของผู้คนแต่ละยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การนำเสนอธรรมะผ่านความบันเทิง (Entertainment) ในรูปของเพลง เพื่อให้ศาสนาเข้าถึงง่ายขึ้น หรือแม้แต่บทสวดหากยังสวดเช่นเดิม จะสวนทางกับยุคโลกไร้สายที่ผู้รับสารมีความอดทนต่ำ<br />
<br />
"ศาสนาและเอ็นเตอร์เทนเมนท์ต่อไปจะแยกกันไม่ออก เพราะต่างเป็นเรื่องของการผ่อนคลาย บทสวดมนต์ของไทยเป็นเพลงน้อย ต่อไปอาจจะต้องปรับปรุงใหม่ให้คนหันมาสนใจมากขึ้น"<br />
<br />
พระอาจารย์ยังพูดถึงการไหลบ่าของความเชื่อ ที่มีไม่แพ้การไหลบ่าของเคลื่อนเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ว่า ปัจจุบันมีลัทธิความเชื่อต่างๆ เข้ามาในไทยเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นพุทธสายจีน แบบมหายาน เข้ามาในรูปสมาคมมูลนิธิ ที่มาพร้อมกับกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อและค่านิยมในอัตลักษณ์แบบจีน<br />
<br />
"ความเชื่อแบบจีนเป็นอีกแบบที่ต่างกับแนวทางของพุทธศาสนา เพราะมุ่งสู่สุขาวดี หรือ สวรรค์ มองความสุข คือสวรรค์ แทนการนิพพาน ซึ่งแท้จริงนิพพานไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นสภาวะทางจิตใจที่เข้าใจทุกอย่างไม่สร้างเงื่อนไข ไม่มีผลทางบวกหรือลบ อาตมาไม่ชอบพิพากษาสังคมว่าดีหรือไม่ดี ไม่อยากให้มองมุมเดียว เพราะมีหลายมิติซ้อนกันอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่เข้าไปแล้วทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นหรือไม่ มีทุกข์หรือสุขมากขึ้น"<br />
<br />
พระอาจารย์อนิล ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ความเชื่อเรื่องศาสนากำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงตามโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมกับกระแสทุนนิยม โดยเฉพาะในอาเซียน จีนเริ่มรุกเข้ามาเผยแพร่ทางศาสนามากขึ้น ไม่ต่างจากการเข้ามาของมิสชันนารีในยุคล่าอาณานิคม <br />
<br />
"สิ่งที่เห็นตอนนี้ ความเชื่อ อัตลักษณ์ทางศาสนา มาพร้อมกับทุน โดยเฉพาะพุทธศาสนาในแต่ละประเทศก็มีอัตลักษณ์แตกต่างกัน ซึ่งกำลังแย่งชิงมาร์เก็ตแชร์อย่างหนักในอาเซียน ที่มีมหาอำนาจอย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นผู้เล่น"<br />
<br />
จีนประกาศตัวเองเป็นศูนย์กลางทางศาสนาโลก ด้วยการจัดงานประชุมพระพุทธศาสนา "World Buddhist Forum" <br />
<br />
"จีนไม่ได้ต้องการก้าวไปเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ แต่การเผยแผ่ศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะส่งออก ซึ่งเกาหลีกับญี่ปุ่นก็ไม่ยอม แต่ไม่แรงเท่าจีน" <br />
<br />
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย นักบริหารการตลาดและประชาสัมพันธ์ผู้มีแนวคิดธุรกิจสีขาว ให้มุมมองว่า สังคมไทยเต็มไปด้วยความเชื่อมากกว่าจะหาเหตุผล เป็นจังหวะเวลาเดียวกับที่โลกอยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วทั้งทางกายภาพและสังคม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้คนที่เกิดภาวะทุกข์ในใจ เข้าหาพระธรรม เพื่อคลายทุกข์<br />
<br />
"พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่างไม่เที่ยงไม่ทน โลกเปลี่ยนสังคมก็เริ่มเปลี่ยน หลายกลุ่มคนไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือประชาชนทั่วไปหันกลับมาสนใจศาสนามากขึ้น เมื่อมีทุกข์ เหมือนกำลังลอยคอและกำลังจะจมอยู่กลางน้ำ เมื่อมีอะไรมาให้เกาะก็รีบเกาะ เพราะต้องการหาที่พึ่งหรือแนวทางพ้นทุกข์"<br />
<br />
โปรดักท์ทางศาสนาเรียงกันออกมารองรับความต้องการทางจิตใจของคน สิ่งเหล่านี้จะเข้าถึงกลุ่มคนได้ ก็ต้องใช้การตลาดบนความศรัทธา (Faith Marketing) ซึ่งเป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นกลับไปกลับมาในสังคมไทยอยู่บ่อยครั้ง <br />
<br />
ทว่า หากการตลาดบนความศรัทธานั้นคุณภาพไม่ดีพอก็จะกลายเป็นกระแสที่จางหายไปตลาดอายุขัยในที่สุด เช่น กระแสจตุคามรามเทพ<br />
<br />
นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ อธิบายเรื่องนี้ว่า ความทุกข์เป็นวัฏจักรเดิมที่กลับมาใหม่ เพราะมนุษย์เชื่อว่าเมื่อมีมากแล้วจะพ้นทุกข์ เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ค้นพบว่า "ไม่ใช่" <br />
<br />
“โลกอยู่กับวัตถุนิยม บริโภคนิยม มีบ้านหลังที่หนึ่ง มีบ้านหลังที่สอง มีรถคันที่หนึ่ง มีรถคันที่สอง มีโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง มีโทรศัพท์เครื่องที่สอง สุดท้าย ก็ค้นพบว่า มันไม่ใช่ ผู้บริหารนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจึงมักนำเรื่องธรรมะมาช่วยปรับสมดุลของชีวิตให้พอดี มีสติปัญญาเข้าใจชีวิต และธุรกิจ จัดการธุรกิจได้” เขายกตัวอย่าง<br />
<br />
สมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มองแนวคิดทางศาสนาจะเป็นช่วยเพิ่มช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และปกป้องการถูกครอบงำทางความเชื่อและวัฒนธรรมว่า ไทยเป็นเมืองพุทธและเป็นต้นแบบการบริการผ่อนคลาย อาทิ สปา ซึ่งเป็นตัวรุกในธุรกิจท่องเที่ยว<br />
<br />
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ยังแสดงความเห็นว่า การจะเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จได้ ควรแบ่งสัดส่วนวงจรชีวิตใน 24 ชม.ต่อวัน ไว้ 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงที่ 1 ถูกใช้ไปกับการนอนหลับพักผ่อน ดูแลกายภาพของเรา ช่วงที่ 2 คือช่วงเวลาทำงาน เพื่อหาเลี้ยงชีพ หากเป็นเด็กก็เรียนหนังสือ และช่วงที่ 3 เจียดเวลาไปให้กับนันทนาการ มีหลากหลายทางเลือก แต่หากเลือกที่จะบริโภคนิยมบันเทิงกันสุดโต่งก็จะไปกดทับสติสัมปชัญญะ<br />
<br />
"หากปล่อยเวลาไปกับบริโภคนิยมแบบสุดโต่งก็จะดูเหมือนเป็นอิสระ แต่มันจะไปกดทับสติสัมปชัญญะ ที่จะคอนโทรลตัวเองให้หันกลับมาตระหนักถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์"<br />
<br />
----------------------------------------------<br />
<br />
ตะวันตก ตื่นตัว สมาธิเพื่อธุรกิจ <br />
<br />
พระอาจารย์อนิล ธมมสากิโย (ศากยะ) ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า กระแสที่กำลังการขึ้นในคนและองค์กรซีกโลกตะวันตก คือ การหันมาสนใจพุทธศาสนามากขึ้น โดยมองว่าจะเป็นหนทางสร้างความสำเร็จให้กับตนเองและองค์กร ตามที่ปรากฏชัดทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา มีรายงานการทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อการวิจัยถึงประโยชน์ของพุทธศาสนา โดยเฉพาะรายงานของวิจัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่พบว่า โรคร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นมากในปี 2020 คือโรคเครียด<br />
<br />
<br />
<br />
"ผลการวิจัยระบุถึงการพยายามรักษาโรคเครียดด้วยยากล่อมประสาทแล้วไม่หาย อาการกลับมาใหม่ถึง 80% ตามผลแล็บ จึงหันไปทุ่มงบประมาณมหาศาลไปที่การป้องกันโรคด้วยการเจริญสติ (Mindfulness Base Therapy) นำการฝึกสติไปแก้แล้วหาย ทำให้มีการทุ่มเงินวิจัยต่อในเรื่องนี้"<br />
<br />
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย เล่าถึงความสนใจของคนตะวันตกในพระพุทธศาสนาสอดคล้องกันว่า ในหนังสือ Financial Times ยังเขียนถึงการนำวิถีการทำสมาธิแบบพุทธมาใช้พัฒนาธุรกิจ โดยปัจจุบันมีบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่งในตะวันตกที่ใช้แนวทางนี้ อาทิ ฮาเก้น ดาซส์ (Haagen Dazs) ที่นำพนักงานไปเรียนรู้การทำสมาธิ ตามตำราพระพุทธศาสนา <br />
<br />
<br />
"ตะวันตกถึงจุดอิ่มตัวในความเจริญทางเทคโนโลยีและวัตถุ จึงหันกลับมามองจิตใจ ขณะที่โลกตะวันออก เป็นผู้ริเริ่มทางด้านจิตวิญญาณ แต่กำลังเดินตามการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจตามโลกตะวันออก"<br />
<br />
พระอาจารย์อนิล เสริมว่า พระพุทธศาสนาสำหรับชาวตะวันตกถือเป็นหนึ่งในบริการทางจิตใจ เป็นธุรกิจให้คำปรึกษา (Consultant) ในขณะที่พระอาจารย์เดินทางไปเผยแผ่ศาสนา ด้วยการเป็นอาจารย์สอนพิเศษในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศหลายแห่ง อาทิ อ็อกซ์ฟอร์ด, ซานตา คลาร่า แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา รวมถึงมหาวิทยาลัยในยุโรป มีชาวตะวันตกต้องการมาศึกษาพระพุทธศาสนา กลับมีการถามเรื่องค่าสอน<br />
<br />
<br />
“ฝรั่งมีปัญหาความสุขอยู่ที่ไหน เพราะแม้มีทุกอย่าง แต่ทำไมยังทุกข์อยู่ จึงมีคนอยากมาศึกษา เขาถามว่าคิดชั่วโมงเท่าไหร่ เพราะเขามองเป็นเรื่องของการให้คำปรึกษา เราบอกไม่คิด เขาก็ไม่เชื่อ” <br />
<br />
โจทย์ใหญ่ของโลก ของการคลายทุกข์กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลก จึงไม่ใช่การดิ้นรนเพื่อความสุขสบายทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่กำลังหาแนวทางที่การันตีความสุขที่แท้จริง <br />
<br />
--------------------------------------------<br />
<br />
"ศรัทธา" ฮาวทู<br />
<br />
ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังนำหลักการตลาดมาอธิบาย "ฮาวทู" ในการสร้างศรัทธาของแต่ละสถานปฏิบัติธรรมที่มีหลักการเดียวกัน คือ การเข้าถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ผ่าน 3 โปรเซส ได้แก่<br />
<br />
1.สร้างความศรัทธา (Faith Build) จะเกิดขึ้นได้ด้วยการจับจุดภายในใจของกลุ่มเป้าหมาย ก่อนจะเสนอทางออกให้ตรงกับโจทย์ความต้องการ<br />
<br />
“เพราะมนุษย์หลายคนมีภายนอกและภายในที่ขัดแย้งกันอยู่ เช่น คนแต่งตัวเปรี้ยว อาจจะไม่ได้แปลว่าเป็นสาวมั่น บางคนภายนอกดูสมบูรณ์แบบแต่อาจจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ หากเข้าถึงภายในและสามารถหาคำตอบให้เขาได้ เขาก็จะกลายเป็นสาวก”<br />
<br />
2.ช่วงรักษาความสัมพันธ์ (Maintain) เมื่อศรัทธาเกิดแล้วก็รักษาและสานต่อความสัมพันธ์ด้วยกิจกรรมต่อเนื่อง (อีเวนท์ มาร์เก็ตติ้ง)<br />
<br />
3.ค้นหาสาวก (Evangelist Marketing) กลุ่มคนที่จงรักภักดีในแบรนด์ โดยกลุ่มคนที่มีชื่อเสียง (เซเลบ) มักจะถูกหยิบยกมากล่าวถึง ให้เกิดความเลื่อมใส จนบอกต่อ เพื่อขยายกลุ่มคนใหม่ๆ <br />
<br />
<br />
บทความจาก กรุงเทฑธุรกิจ 10 กย 55<br />
<a href="http://bit.ly/Ph8V8P">http://bit.ly/Ph8V8P</a><br />
<br />
<br />Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-73999921984860124192012-09-01T23:03:00.003+07:002012-09-01T23:03:28.253+07:00ธุรกิจกับ "โมบายแอป"<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghEyde-CZDBL0HacKGcOwbevUuVapMjrcm2iy3VlrfNHgz_tutQYl1DWy6RDZ9ZiGeCPfQsTMBD-ujmazaPQOmhK83JDP6KHQzctA5MIO4-WZto49biTm5DyGPXjw-CXrFFNPO5H6PcTo/s1600/Mobile+App.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" fea="true" height="212" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghEyde-CZDBL0HacKGcOwbevUuVapMjrcm2iy3VlrfNHgz_tutQYl1DWy6RDZ9ZiGeCPfQsTMBD-ujmazaPQOmhK83JDP6KHQzctA5MIO4-WZto49biTm5DyGPXjw-CXrFFNPO5H6PcTo/s320/Mobile+App.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
มีบทความชิ้นหนึ่งในนิตยสารฟอร์บส ที่ยีน มาร์คส เขียนเอาไว้อย่างน่าสนใจสำหรับคนทำธุรกิจ ซึ่งน่าจะรวมไปถึงองค์กรต่าง ๆ ด้วย เขาขึ้นต้นบทความด้วยคำถามว่าธุรกิจของคุณจำเป็นต้องใช้โมบายแอป โลกเขาโมบายกันหมดแล้ว และตัวเลขยอดสมาร์ทโฟนและไอแพดก็เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าทั้งโลกกำลังเข้าสู่ยุคโมบายกันหมดแล้ว<br />
<br />
<br />
แต่ทำไมธุรกิจของพวกเราถึงไม่สามารถใช้โมบายเทคโนโลยีให้ได้ดีกว่านี้ ทั้ง ๆ ที่พนักงานก็ใช้สมาร์ทโฟนกันทั้งที่บริษัทซื้อให้ ทั้งที่ซื้อใช้กันเอง แต่รู้สึกไหมว่าใช้ของพวกนี้ต่ำกว่าศักยภาพจริง ๆ ที่มันทำได้ ดูเหมือนบริษัทจะไม่สามารถทำให้พนักงานมีผลิตภาพมากขึ้นได้ <br />
<br />
มาร์คสว่าไม่ต้องห่วงหรอก ปัญหานี้เกิดกับทุก ๆ คน มีคนที่รู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกันกับคุณ เขายกตัวอย่างว่าบริษัทของเขาขายแอปพลิเคชั่นสำหรับการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า มีลูกค้าอยู่ 600 ราย เป็นโมบายโซลูชั่นที่ทำงานกับแอปพลิเคชั่นที่เขาขาย แต่สิ่งที่เขาพบก็คือไม่มีรายไหนทำได้ดีมากจริง ๆ เอาเสียเลย<br />
<br />
มาร์คสบอกว่าการก้าวมาใช้โมบายแอปปลิเคชั่นไม่ได้เป็นเรื่องผิดพลาด แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่ไม่ได้นำมาใช้จริง ๆ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง กล่าวคืออาจจะไม่ได้ตัดสินใจถึงวัตถุประสงค์ของเทคโนโลยีที่เอามาใช้เช่น จะร่นระยะเวลาการทำงานลง จะเพิ่มคำความเร็วระหว่างการรับคำสั่งซื้อ<br />
<a name='more'></a><br />
สินค้ากับการนำของไปส่งและการเก็บเงิน จะลดงานเอกสารลงโดยไม่ต้องย้อนกลับเข้าในที่ทำงานอีก หรือนัยหนึ่งทำงานเอกสารโดยไม่ได้มีกระดาษ ซึ่งมีหลายวิธีที่จะใช้เทคโนโลยีโมบาย ทั้งหมดนี้คือเรื่องการ data entry (การป้อนข้อมูลเข้ามาเก็บในระบบ) และ data retrieval (การเรียกคืนข้อมูลในป้อนเก็บไว้ขึ้นมา) แต่ปัญหาคือไม่ได้ตัดสินใจถึงวัตถุประสงค์ของมัน<br />
<br />
ที่จริงบทความนี้สาธยายยาวไปกว่าที่ดึงบางส่วนออกมาในที่นี้ แต่แค่นี้ก็พอมองเห็นอะไรได้บางอย่าง เพราะที่จริงแล้ว ในกรณีอย่างบ้านเรานั้น ธุรกิจมีระดับการพัฒนาแตกต่างกัน บางบริษัทพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่โลกโมบายโดยการนำโมบายแอปพลิเคชั่นมาใช้ และหลายบริษัทหรือหลายองค์กรก็นำมาใช้กันแล้วอย่างได้ผล<br />
<br />
แต่บางบริษัทก็ยังไม่พร้อม เพราะทั้งเรื่อง data entry และ data retrieval ที่ยังไม่ต้องไปโมบายอะไรกันก็ยังไปไม่ถึงไหน หลายกรณีมีข้อมูลที่เก็บไว้มากมาย แต่ขาดโซลูชั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถให้องค์กรเพราะขาด data retrieval หรือถึงจะเรียกขึ้นมาดูได้ ก็ดูกันไปแบบข้อมูลดิบ ๆ ซึ่งโดยมากจะออกมารูปของสเปรดชีต ซึ่งในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นข้อมูลดิบที่โบราณมาก<br />
<br />
ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้แปรรูปให้ออกมาเป็นประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร <br />
<br />
ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวมาไกลมาก ที่จริงระบบสามารถพัฒนาไปถึงระดับการแสดงผลการวิเคราะห์เชิงสถิติในแบบเรียลไทม์ หรือเกือบเรียลไทม์กันได้แล้วด้วยซ้ำปัญหาอาจจะเหมือนกับที่ยีน มาร์คส ว่าไว้ คือเรายังไม่รู้วัตถุประสงค์ของเทคโนโลยีที่เอามาใช้นั่นเอง<br />
<br />
บทความจากประชาชาติ 31 สค 2555<br />
<br />
http://bit.ly/PzjlB9<br />
<br />
Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-48276925993388545292012-08-31T15:46:00.003+07:002012-08-31T15:47:57.861+07:00การตลาดยุคใหม่ ต้อง Inbound Marketing !!<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYbUrC05thumbuCOKXVnKLeEMlypd00dFa4O3y1D_djd869kfD_exLtSNjD-vT6fNQKQaO2G2ioOEaQPLXslLtdTUdWHu3zL0jUPBq25Ozr02ywpa6pry7TcUkAYdwl0cUV678GDeQ83A/s1600/Zllo6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYbUrC05thumbuCOKXVnKLeEMlypd00dFa4O3y1D_djd869kfD_exLtSNjD-vT6fNQKQaO2G2ioOEaQPLXslLtdTUdWHu3zL0jUPBq25Ozr02ywpa6pry7TcUkAYdwl0cUV678GDeQ83A/s400/Zllo6.jpg" width="400" /></a></div>
<div>
<span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 16pt;">ผมเชื่อว่าวันนี้มีหลายๆคนที่อยาก
เปิดร้านออนไลน์ ขายของออนไลน์ หรือทำเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ
แต่ก็ยังไม่กล้าไม่มั่นใจว่าจะทำดีหรือไม่ดี</span></div>
<div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">วันนี้ผมเลยเอางานวิจัยจากทางต่างประเทศมาฝากครับ
เราชาวไทยดูไว้ก่อนก็ดีครับเพราะเชื่อว่าไม่นานก็น่าจะเป็นแบบนี้เช่นกัน
เพราะทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นกระแสที่เชื่อมต่อถึงกันเสมอๆครับ</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrt7k-V-GBK6wZHoHLVcCE0FRYumy_e1xk0FOSiZdq2cZ89QZr6v5KFaNNa8nNsobPbyNdMdLlwvyGVoWbdgsTb6PVjr_1RRkYBOvJuZ5X6r_QAfL2sJHyXZiscA93lAn5DOPAXhZZcKM/s1600/Inbround+Mk1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhrt7k-V-GBK6wZHoHLVcCE0FRYumy_e1xk0FOSiZdq2cZ89QZr6v5KFaNNa8nNsobPbyNdMdLlwvyGVoWbdgsTb6PVjr_1RRkYBOvJuZ5X6r_QAfL2sJHyXZiscA93lAn5DOPAXhZZcKM/s400/Inbround+Mk1.jpg" width="308" /></a></div>
<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx5iAK_ROva-toU0j5srWf6KwOlsyxrpHClqKWJWlAnlg3qnculFIwUR7eoOgxoz1hIeeQfSVyjA-4i-C1pdNOAzxkYyMjkhnGnOyXbWjbgfciLZjwWynkRDgPqc83Znqh_ZO4FdHOnms/s1600/Inbround+Mk2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhx5iAK_ROva-toU0j5srWf6KwOlsyxrpHClqKWJWlAnlg3qnculFIwUR7eoOgxoz1hIeeQfSVyjA-4i-C1pdNOAzxkYyMjkhnGnOyXbWjbgfciLZjwWynkRDgPqc83Znqh_ZO4FdHOnms/s400/Inbround+Mk2.jpg" width="360" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOh6I930Xou1zQHvnow1fMOi0UgAKmDJoPCuL_fMbcfN437D7inTV42P0b0_KHKFaEFGrhzn9Mdn4Y_9-EdmjQcKZ5yOFNkHrFh5FMMNllx_bXf8dWj8_xCUzsALnZrB5NqvPRv5RMKto/s1600/Inbround+Mk3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOh6I930Xou1zQHvnow1fMOi0UgAKmDJoPCuL_fMbcfN437D7inTV42P0b0_KHKFaEFGrhzn9Mdn4Y_9-EdmjQcKZ5yOFNkHrFh5FMMNllx_bXf8dWj8_xCUzsALnZrB5NqvPRv5RMKto/s400/Inbround+Mk3.jpg" width="311" /></a></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<br /></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
</div>
<div style="margin-bottom: 10.5pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 3.75pt; mso-line-height-alt: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">งานนี้จัดทำโดย </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">hubspot.com <span lang="TH">เป็นรูปแบบ </span>infographic <span lang="TH">ที่พูดถึงการตลาดยุคใหม่อย่าง
</span>inbound marketing <span lang="TH">ซึ่งเน้นไปทาง </span>Social Network <span lang="TH">การบอกต่อ การเปิดโอกาสให้ลูกค้ารีวิวสินค้าของเรา
ซึ่งดีและได้ผลมากกว่าโฆษณารูปแบบเก่าๆครับ</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin-bottom: 10.5pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 3.75pt; mso-line-height-alt: 12.0pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">จากภาพนะครับ การตลาดแบบเดิมๆ เช่น
โฆษณาที่ยัดเยียดเนื้อหาให้ลูกค้า หรือการตลาดที่ธุรกิจต้องวิ่งเข้าหาลูกค้า
ที่เรียกกว่า </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">Outbound
Marketing <span lang="TH">นั้นเริ่มจะหมดความน่าสนใจแล้วครับ
อย่างแรกที่เห็นชัดเจนก็คือ </span>86% <span lang="TH">ของคนทั่วไปจะปิดเสียงทีวี
หรือเปลี่ยนช่องทีวีขณะมีโฆษณา เท่าที่สังเกตที่บ้านเราก็เป็นใช่มั้ยครับ
โฆษณามาทีไรเปลี่ยนช่องทันที และ </span>75% <span lang="TH">ไม่เชื่อว่าโฆษณานั้นตรงกับความเป็นจริง
นอกจากนั้นคนอเมริกาสูงถึง </span>2 <span lang="TH">ใน </span>3 <span lang="TH">ลงชื่อไว้ในลิสต์รายชื่อที่ไม่ต้องการรับโทรศัพท์พวกโฆษณานำเสนอขายสินค้า</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">แต่สิ่งที่กำลังมาแรง
คือ </span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">Inbound
Marketing <span lang="TH">หรือการดึงลูกค้าเข้าหาเรา โดยใช้เครื่องมือเช่น </span>social
network <span lang="TH">เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า ให้ลูกค้าบอกต่อ
หรือทำให้ลูกค้าหาเราเจอได้ง่ายๆ เช่น การมีเว็บไซต์ และการทำ </span>SEO <span lang="TH">จากภาพจะเห็นว่า มากกว่า </span>60% <span lang="TH">ของผู้ใช้ </span>Social
Network <span lang="TH">ให้ความสำคัญกับ </span>consumer rating/review <span lang="TH">หรือการรีวิวและให้คะแนนสินค้าโดยผู้ใช้ด้วยกันเองเป็นอันดับหนึ่งครับ และ
</span>90% <span lang="TH">เลือกซื้อสินค้าตามยี่ห้อที่เพื่อนแนะนำ อีก </span>70% <span lang="TH">เชื่อความเห็นของผู้บริโภคคนอื่นๆ
นั่นแปลว่าคนส่วนมากเชื่อการรีวิวโดยคนไม่รู้จัก มากกว่าการโฆษณาเสียอีก</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">นอกจากนี้งานวิจัยยังบอกอีกด้วยว่า
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">61% <span lang="TH">ของผู้บริโภคใช้ </span>Search engine <span lang="TH">ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
ดังนั้นการมีร้านออนไลน์และรายละเอียดของเราอยู่บนอินเทอร์เน็ทจึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขาย
ที่สำคัญ ลูกค้าที่มารีวิวสินค้าของเราจำนวนมากๆ นั้นมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของ </span>“<span lang="TH">ว่าที่</span>” <span lang="TH">ลูกค้า จากภาพบอกไว้ว่า
สินค้าที่มีรีวิวมากกว่า </span>50 <span lang="TH">รีวิว นั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าสินค้าที่มีรีวิวน้อยกว่า
</span>5 <span lang="TH">รีวิวถึง </span>65% <span lang="TH">ทีเดียว</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">ข้อดีที่เห็นได้ชัดสำหรับการทำการตลาดแบบ
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">Inbound
marketing <span lang="TH">คือ ต้นทุนที่ต่ำกว่า
แต่ได้ผลดีกว่าการไปลงโฆษณาผ่านช่องทางแพงๆอย่างฟรีทีวี
นอกจากนั้นการที่เรามีร้านบนอินเทอร์เน็ตและมีพื้นที่ให้ลูกค้าสามารถกลับมารีวิวสินค้าได้นั้นก็จะทำให้ลูกค้าคนอื่นๆที่เห็นตัดสินใจซื้อสินค้าของเราง่ายมากขึ้น</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">วิธีหนึ่งที่สามารถสนับสนุน
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">inbound
marketing <span lang="TH">ของเราได้ดีมากๆ คือ การใช้ </span>social network <span lang="TH">เช่น </span>Facebook <span lang="TH">โดยการสร้าง </span>page <span lang="TH">ให้คนกด </span>like <span lang="TH">หรือการใส่ปุ่ม </span>like <span lang="TH">เข้าไปในหน้าสินค้าบนเว็บไซต์ของเรา
เพราะมีโอกาสที่จะมีคนเห็นสินค้าเรามากขึ้นจากการบอกต่อและการกด </span>like <span lang="TH">ของลูกค้าเรา ซึ่งส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้นมากทีเดียว
ดูได้จากตัวอย่างตอนท้ายของภาพนะครับ</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">จากภาพ
</span><span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;">infographic
<span lang="TH">นี้จะเห็นว่าการตลาดแบบ </span>inbound marketing <span lang="TH">นั้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากๆ
ดังนั้นการที่เราจะเริ่มหันมาเอาใจใส่และจริงจังกับการตลาดแบบนี้
ผมเชื่อว่าจะต้องเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การศึกษาอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นเรามาสร้าง </span>page
<span lang="TH">บน </span>social network <span lang="TH">และ เปิดร้านออนไลน์
กันดีกว่า เพื่อรองรับอนาคตที่กำลังจะมาถึงครับ</span><o:p></o:p></span></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div style="margin: 3.75pt 0cm 10.5pt;">
<span style="font-family: "Angsana New","serif"; font-size: 16.0pt;"><span lang="TH">บทความจาก </span></span><a href="http://www.thepiing.com/?p=2230">http://www.thepiing.com/?p=2230</a></div>
<br /></div>
Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-41023199904139811082012-08-23T11:38:00.000+07:002012-08-23T11:44:50.770+07:00<br />
<div style="background: white; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<strong><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 13.5pt;">กลยุทธ์ผู้ตามอย่างเหนือชั้น</span></strong><strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 13.5pt;"> Market-Follower
Strategies </span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggpH8hCoNruBfzA3nqti0xjRzZLfABd9cSdjfFZTYovLQTxTcBQDpJicLUZYrvbbmkfmNMiKnLi3Moa-4elNUHL5ASz9REHD_krQWh4hDMelNJ7PoN11uFp3P1AAFZK0Tzr7YYE8qV8Ho/s1600/86663n_Untitled-5-l.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggpH8hCoNruBfzA3nqti0xjRzZLfABd9cSdjfFZTYovLQTxTcBQDpJicLUZYrvbbmkfmNMiKnLi3Moa-4elNUHL5ASz9REHD_krQWh4hDMelNJ7PoN11uFp3P1AAFZK0Tzr7YYE8qV8Ho/s320/86663n_Untitled-5-l.jpg" width="213" /></a></div>
<div style="background: white; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 13.5pt;"><br /></span></strong></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">กรณีบิ๊กโคล่า
แบรนด์ที่ปลุกกระแสที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการน้ำอัดลมด้วยการเบียดแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาจาก
</span>2 <span lang="TH">ค่ายใหญ่</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ถ้ามองในเชิงกลยุทธ์ทางการตลาด
ถือว่าบิ๊กโคล่าสามารถเลือกกลยุทธ์ได้ดี หรือถ้ามองบิ๊กโคล่าเป็น </span>Follower <span lang="TH">ก็ถือว่าใช้ </span>Market-Follower Strategies <span lang="TH">ตัวจริงเลยก็ว่าได้
โดยออกผลิตภัณฑ์เลียนแบบหรือ </span>Me-too product<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ผู้เขียนได้เคยบอกกับผู้เรียนหรือผู้ที่ฟังบรรยายว่า</span><strong>“<span lang="TH">การวางแผนกลยุทธ์ หรือ </span>Strategic
Planning <span lang="TH">นั้นไม่จำเป็นต้องทำทุกกลยุทธ์
แต่เลือกกลยุทธ์ที่สำคัญมาทำ และทำในกลยุทธ์ที่ตนเองถนัด หรือเรียกว่า </span>“Strategic
Choice <span lang="TH">หรือ </span>Choosing a General Attack Strategy” <span lang="TH">จึงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้บิ๊กโคล่าสามารถเข้ามาทำตลาดน้ำอัดลมได้ในขณะนี้
ซึ่งตลาดน้ำสีก็มีแนวโน้มจะไปได้ดีพอสมควร</span>”</strong><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">หากจะมองบิ๊กโคล่าต้องบอกเลยว่าบิ๊กโคล่าใช้กลยุทธ์ผู้ตามได้ค่อนข้างดีเลย
ในทางกลยุทธ์ทางการตลาดเรียกว่า</span><span class="apple-converted-space"><b> </b></span><strong>“Market-Follower Strategies”<o:p></o:p></strong></span></div>
<div style="background: white; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<br /></div>
<div style="background: white; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">ซึ่ง
บิ๊กโคล่า ไม่ใช่ </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">Challenger <span lang="TH">ที่จะเข้ามาท้าชิงกับเป๊ปซี่หรือโค๊ก</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ในกลยุทธ์ทางการตลาด การแข่งขันจะแบ่งได้ คือ </span>Market Leader
(<span lang="TH">ผู้นำ) </span>Market Challenger (<span lang="TH">ผู้ท้าชิง) </span>Market
Follower (<span lang="TH">ผู้ตาม) และ </span>Market Nicher (<span lang="TH">ธุรกิจรายย่อย)</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<strong><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;">บิ๊กโคล่าใช้กลยุทธ์ผู้ตามได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
ผู้บริโภคมักมองว่า บิ๊กโคล่าเหมือนนักปลอมแปลง </span></strong><strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;">Cloner <span lang="TH">หรือ </span>Counterfeiter <span lang="TH">คือการทำตราสินค้าหรือรูปแบบ
ใครทำอะไรทำตาม</span></span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br /></span></span></strong></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;">บิ๊กโคล่าไม่ใช่ </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;">Cloner <span lang="TH">ซะทีเดียว แต่เป็นลักษณะ </span>Imitator <span lang="TH">คือการลอกเลียนแบบจากผู้นำ แต่การสร้างความแตกต่างในด้านราคา (</span>Differentiate
Price) <span lang="TH">ช่องทางจัดจำหน่าย และโฆษณาที่ต่างออกไป</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;">การเป็นผู้ตามนั้นไม่จำเป็นต้องถอดแบบมาหมดทุกอย่าง
แต่เมื่อเป็น </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;">Follower <span lang="TH">หรือผู้ตามแล้วต้องนำเอาส่วนที่ผู้นำ
(</span>Leader) <span lang="TH">และผู้ท้าชิง (</span>Challenger) <span lang="TH">ที่เป็นจุดอ่อนมาเลือกโจมตี
เนื่องจากการเข้าโจมตีจุดแข็งผู้นำนั้นค่อนข้างลำบาก ต้อง </span>Differentiate <span lang="TH">จริงๆ</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"></span></span></div>
<a name='more'></a><br />
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">การเป็นผู้เลียนแบบ
(</span><span style="background-color: white; font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">Imitator) <span lang="TH">ของบิ๊กโคล่า
ไม่ใช่การลอกเลียนแบบอย่างเดียว
แต่ใช้ความต่างที่ราคาต่ำกว่าและให้ปริมาณมากกว่าถือเป็น </span>Key Success
Factor <span lang="TH">ก็ว่าได้</span></span><br />
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">แม้ช่องทางการจัดจำหน่ายอาจสู้โค๊ก-เป๊ปซี่ไม่ได้ แต่อย่
าลืมช่องทางอื่นๆ ที่บิ๊กโคล่าใช้ ไม่จำเป็นต้อง </span>7-11 <span lang="TH">เสมอไป
การซื้อน้ำมันเครื่องแถมบิ๊กโคล่าก็ยังมีให้เห็น หรือร้านโชห่วยทั่วไปก็ยังเป็นอีก
</span>Channel <span lang="TH">ก็ได้ เพราะร้านค้าทั่วไปในต่างจังหวัดหรือในตรอก
ซอกซอย ยังมีกลุ่มที่ชอบลองของใหม่ราคาถูกอยู่ หรือเรียกว่ากลุ่ม </span>“Innovators”
<span lang="TH">คือกลุ่มผู้บุกเบิกที่กล้าลอง กล้าคิด กล้าเสี่ยง
และยอมรับความเสี่ยง</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">กลุ่มนี้สัดส่วนอาจจะไม่มากแต่ใช้ดีแล้วบอกต่อเป็น </span>WOM <span lang="TH">หรือ </span>Word of Mount<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<strong><span lang="TH">จุดเปลี่ยนของบิ๊กโคล่า</span></strong><span class="apple-converted-space"><b> </b></span><span lang="TH">หากมองดูอาจเป็นแนวทางที่กลุ่มเครื่องดื่มกำลังจับตาดู
เพื่อมาแย่งสัดส่วนตรงนี้อย่างแน่นอน เพราะยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทสิงห์คอร์เปอเรชั่น
จำกัด อาจกำลังมองดูอยู่เหมือนกัน เพราะมีความพร้อมอยู่แล้ว
กลยุทธ์ที่ใช้อาจจะไม่แตกต่างกันมากนัก บริษัทสิงห์คอร์เปอเรชั่น จำกัด
นั้นมีความพร้อมในด้านของการจัดจำหน่าย ซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ซึ่งถ้าหากเข้ามาทำธุรกิจน้ำอัดลมจริงๆก็ทำได้ง่ายเลย</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ดังนั้นศึกนี้คงใหญ่หลวงนักสำหรับโค๊ก-เป๊ปซี่ คงต้องกลับมา </span>SWOT
Analysis <span lang="TH">ตัวเองบ่อยๆ ต้องมาติดตามกันต่อไปว่า </span>Follower,
Challenger, Leader <span lang="TH">เกมกลยุทธ์ </span>Marketing Tactics <span lang="TH">ในธุรกิจนี้ ใครทำแล้วโดนใจผู้บริโภคมากกว่ากัน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
</span><strong><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 13.5pt; line-height: 115%;">กลยุทธ์ช่วงชิงจังหวะ (</span></strong><strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 13.5pt; line-height: 115%;">Market Challenger) </span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
</span><strong><span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 13.5pt; line-height: 115%;">กรณีบิ๊กซีกับโลตัส
การแข่งขันที่ช่วงชิงจังหวะในการตอบโต้</span></strong><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">หากมองแล้ว กลยุทธ์แบบนี้ต่างคนต้องงัดกลยุทธ์ที่ใช้ทั้ง </span>Defense
Strategies <span lang="TH">และ </span>Offensive Strategy <span lang="TH">เข้ามาต่อสู้กัน
เพื่อรอจังหวะที่จะตอบโต้และป้องกันจนขาดคำว่า </span>“<span lang="TH">จริยธรรมทางธุรกิจ</span>”<span lang="TH">ไป</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<!--[if !supportLineBreakNewLine]--><br />
<!--[endif]--></span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12.0pt; line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></div>
<div style="background: white; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">ส่วนถามว่าเป็นการผิดจริยธรรมทางธุรกิจหรือผิดมารยาทหรือไม่
ถ้ามองในมุมมองของ </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">Consumer <span lang="TH">คงจะได้ประโยชน์เต็มๆ และรอว่าใครให้ </span>Benefit
<span lang="TH">มากกว่ากัน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">การผิดจริยธรรมกับผู้บริโภคคือ การที่ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย
เสียผลประโยชน์ แต่กลับกัน </span>Consumer <span lang="TH">ได้รับประโยชน์
และสนุกกับเกมการต่อสู้ในครั้งนี้ เดินเข้าไปในบิ๊กซีกับโลตัส
ไม่แตกต่างกับการเดินเข้า </span>7-11 <span lang="TH">เลย เพราะ</span>Promotion <span lang="TH">มากมาย</span><o:p></o:p></span><br />
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><span lang="TH"><br /></span></span></div>
<div style="background: white; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">หากมองในมุมของการตลาด
ถือได้ว่าเป็น </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">“Colorful Marketing” <span lang="TH">สีสันทางการตลาด
แต่ก็ควรจะมีจริยธรรมในการแข่งขันด้วย ถึงแม้จะไม่ผิดจริยธรรมกับผู้บริโภค
แต่ในจริยธรรมธุรกิจการแข่งขันไม่เหมาะแน่นอน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">การใช้ </span>SMS <span lang="TH">แจ้งให้ลูกค้าคู่แข่งตอบกลับหรือแจกแผ่นพับใกล้เคียงคู่แข่งขันในธุรกิจเดียวกัน
จะคล้ายกลยุทธ์กองโจร หรือ </span>Guerrilla Attack <span lang="TH">คือการลักลอบโจมตีคู่แข่งแบบผิดจรรยาบรรณ</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ซึ่งกลยุทธ์แบบกองโจร (</span>Guerrilla Attack) <span lang="TH">ในทฤษฎีการตลาดมีหลายวิธี
เช่น การให้ข่าวลือ แย่งผู้บริหาร ปลอมแปลง เป็นต้น
ซึ่งในสังคมไทยอาจจะยังรับไม่ได้</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">แต่เนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจ </span>Consumer Product <span lang="TH">นั้น ประชาชนได้ประโยชน์ จึงไม่ได้ออกมาต่อต้านเท่าไหร่นัก เนื่องจากสังคมไทยยังมีระดับรากหญ้าที่รอของแถม
ของลดราคาอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่บริโภคแล้วมีผลกระทบนั่นแหละ แน่นอน
การเรียกร้องสิทธิของประชาชนจะเกิดขึ้น หรือ </span>Human Right <span lang="TH">เมื่อถึงตอนนั้นสังคมจะฟ้องร้องเอง
หรือเรียกว่า </span>“Social Sanction”<o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ในต่างประเทศเราคงได้ยินข่าวที่ </span>Google <span lang="TH">ออกมายอมรับและขอโทษที่ทางบริษัทได้นำข้อมูลส่วนหนึ่งจาก
</span>Sohu.com <span lang="TH">มาใช้พัฒนาโปรแกรมของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ </span>Google
<span lang="TH">ก็ออกมายอมรับขอโทษ แต่ในการส่ง </span>SMS <span lang="TH">ไปยังลูกค้าคู่แข่ง
ส่วนกรณี ของโลตัสที่การใช้ </span>SMS <span lang="TH">แจ้งให้ลูกค้าคู่แข่งตอบกลับ
ยังไม่มีกฎหมายมากำหนดว่าผิดหรือไม่ คงผิดแค่มารยาทธุรกิจ</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ลองหันมามองในเรื่องของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นจะแบ่งเป็นกลุ่ม </span>Discount
Store, Supermarket, Convenience Store <span lang="TH">และ </span>Department Store
<span lang="TH">โดยผู้บริโภคนั้นจะมีความต้องการในการเลือกซื้อสินค้าแตกต่างกันไปตาม
</span>Need <span lang="TH">ต่างๆ</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">พฤติกรรมผู้ซื้อนั้น จะแบ่งไปตาม </span>Need <span lang="TH">ต่างๆ </span>Stated
Need (<span lang="TH">ความต้องการขั้นพื้นฐาน)</span>, Real Need <span lang="TH">ความต้องการอยากจะซื้อ</span>,
Unstated Need <span lang="TH">ซื้อโดยไม่คาดคิด และ </span>Delight Need <span lang="TH">ความต้องการแท้จริง อาจเป็นสูตรเดียวกันที่ </span>Discount Store <span lang="TH">ใช้ทำกัน </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<!--[if !supportLineBreakNewLine]--><br />
<!--[endif]--></span><span style="font-family: "Times New Roman","serif"; font-size: 12.0pt; line-height: 115%;"><o:p></o:p></span></div>
<div style="background: white; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<span lang="TH" style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">เมื่อกลยุทธ์ต่างๆ
ที่ทั้งบิ๊กซีกับโลตัสที่ใช้ในการทำตลาด เริ่มตัน ดังนั้น
การสร้างและรักษาลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งขึ้น
ดังนั้นทั้งบิ๊กซีและโลตัสจึงจะมองกลยุทธ์ด้วยกันและกัน คือ ใคร ออก </span><span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt;">Campaign
<span lang="TH">อะไรมาจะทำตาม รอจังหวะซึ่งกันและกัน เพื่อปกป้องฐานลูกค้าให้ดีที่สุด
</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">ซึ่งเป็นผลให้ผู้บริโภคเริ่มจะศึกษาสินค้ามากขึ้น หรือ </span>High-Involvement
<span lang="TH">จากเดิมที่ตัดสินใจง่ายๆ ซื้อแบบ </span>Routine <span lang="TH">หรือ </span>Low-Involvement <span lang="TH">กลับต้องพิจารณามากขึ้น
เพราะการออก </span>Campaign <span lang="TH">ลด แลก แจก แถม
ก็ยังเป็นกิจกรรมดึงผู้บริโภคให้ซื้อ ยังเป็นสมัยนิยมเสมอ </span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 10.5pt; line-height: 115%;"><br />
<span lang="TH">แต่สุดท้าย จะซื้อด้วยแบบใดก็ตาม ผู้บริโภคคงจะต้องมองที่ </span>Benefit
<span lang="TH">ที่ได้รับเป็นสำคัญ เพราะพฤติกรรมผู้ซื้อจะซื้อครั้งมากๆ
ช่วงปลายเดือน ในระหว่างเดือน ถ้าต้องการจำเป็นจริงๆ ซื้อไม่มาก ก็คงไม่พ้น </span>Convenience
Store <span lang="TH">ที่เปิดใกล้บ้าน</span><o:p></o:p></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
<div class="MsoNormal">
<o:p><br /></o:p></div>
<div class="MsoNormal">
<o:p>บทความจาก ดร.ธเนศ ศิริกิจ Positioning Mag 25 พค. 2555</o:p></div>
Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-51014332776227130362012-05-01T09:05:00.002+07:002012-05-01T09:05:56.811+07:00ไทยนำโด่งในเซาท์อีสต์เอเชีย ชอปปิ้งผ่าน “ออนไลน์-มือถือ”<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiB8ZxsyZ8bSolXTI50IdL-LmGNQMUk7tr2mLNLwBpaklvVrtmHP5On_yMXbQTGnBH6AlVmSHxTDrx5NaxIl0zHT4dILI1NtKZEZhZZ7BcGQBv3l7AfgLwPZS6LEtfod4DzJKOMJXri-5o/s1600/77965n_pic002_s.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="251" oda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiB8ZxsyZ8bSolXTI50IdL-LmGNQMUk7tr2mLNLwBpaklvVrtmHP5On_yMXbQTGnBH6AlVmSHxTDrx5NaxIl0zHT4dILI1NtKZEZhZZ7BcGQBv3l7AfgLwPZS6LEtfod4DzJKOMJXri-5o/s400/77965n_pic002_s.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ผลสำรวจเกี่ยวกับการชอปปิ้งออนไลน์จากมาสเตอร์การ์ด หรือ MasterCard Worldwide Online Shopping Survey เผยช่องว่างเกี่ยวกับการชอปปิ้งออนไลน์ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะคนในภูมิภาคนี้ชอบจับจ่ายใช้สอยผ่านทางโทรศัพท์มือถือมากขึ้น<br />
<br />
<br />
การสำรวจในครั้งนี้กลายเป็นมาตรฐานในการวัดแนวโน้มของผู้บริโภคเกี่ยวกับการชอปปิ้งออนไลน์ โดยได้มีการสำรวจทั่วทั้ง 25 ประเทศในระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2555 สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 7,373 คน จาก 14 ประเทศ โดยสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการชอปปิ้งออนไลน์ ทั้งนี้ ผลสำรวจและรายงานประกอบต่างๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับผลประกอบการทางการเงินของมาสเตอร์การ์ดทั้งสิ้น<br />
<br />
ในแง่ของการใช้จ่ายและวางแผนจะใช้จ่ายออนไลน์นั้น ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ในเรื่องของการชอปปิ้งออนไลน์ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับตลาดเกิดใหม่ในเอเชียแปซิฟิกมีช่องว่างแคบลงเรื่อยๆ โดยประเทศที่นำหน้าพุ่งแรงแซงประเทศอื่นคือประเทศไทย ทั้งในแง่ของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ (80%) และแนวโน้มในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า (93%) เคียงคู่มากับประเทศจีน โดยเกาหลี (84%) และมาเลเซีย (79%) ที่มีแนวโน้มในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ในอีก 6 เดือนข้างหน้าสูงเช่นกัน ส่วนเวียดนามนั้น แม้มีจำนวนผู้วางแผนจะจับจ่ายออนไลน์ที่สูงถึง (87%) แต่เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับการออนไลน์ชอปปิ้งนั้นมีเพียงแค่ 61%<br />
<br />
โดยภาพรวม ประเทศที่มีการเจริญเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของออนไลน์ชอปปิ้ง ได้แก่ ประเทศไทย เพิ่มขึ้น 13% ออสเตรเลีย (+10%) อินโดนีเซีย (+15%) นิวซีแลนด์ (+9%) และฟิลิปปินส์ (+15%) ส่วนประเทศที่เกิดการถดถอยของออนไลน์ชอปปิ้งคืออินเดีย (-14%) สิงคโปร์ (-10%) และเกาหลี (-17%) ที่แม้เกาหลีจะมีแผนการใช้จ่ายออนไลน์ภายใน 6 เดือนนี้สูงถึง 84% ก็ตาม<br />
<a name='more'></a><br />
สำหรับการเจริญเติบโตของออนไลน์ชอปปิ้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดัชนีที่ได้จากประเทศเวียดนาม ซึ่งเพิ่งมีการสำรวจในปีนี้พุ่งแรงไม่แพ้มาเลเซียและอินโดนีเซียเลยทีเดียว<br />
<br />
การเจริญเติบโตของการชอปปิ้งบนมือถือ แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (71%) กล่าวว่าพวกเขาค่อนข้างนิยมใช้โน้ตบุ๊กในการชอปปิ้งออนไลน์ แต่การใช้อุปกรณ์อย่างโทรศัพท์มือถือสำหรับขาชอปชาวเอเชียก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากในตลาดเกิดใหม่ โดยผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย 59% เลือกใช้โทรศัพท์มือถือสำหรับสั่งสินค้าออนไลน์ ตามด้วยจีน (37%) เวียดนาม (32%) และอินเดีย (32%)<br />
<br />
<br />
เหตุผลในการเลือกใช้โทรศัพท์มือถือสำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์นั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะความสะดวกสบาย (57%) และได้มีการอ้างอิงว่าเป็นเพราะปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่รองรับออนไลน์ชอปปิ้งเพิ่มมากขึ้น (46%) โดยสองอันดับสูงสุดในการใช้จ่ายผ่านทางโทรศัพท์มือถือคือ การซื้อเพลง (24%) และแอปพลิเคชัน (31%) ตามด้วยการซื้อคูปองส่วนลดจากเว็บไซต์ (17%) เสื้อผ้าและเครื่องประดับ (17%) และบัตรชมภาพยนตร์ (16%)<br />
<br />
<br />
“ผลการสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่หลายคนมองว่าเป็นตลาดเกิดใหม่นั้น กำลังเป็นตลาดที่ก้าวขึ้นมาท้าทายหรือในบางกรณีก็แซงหน้าตลาดที่เติบโตแล้วในแง่การชอปปิ้งออนไลน์” นายฟิลลิป เยน หัวหน้าฝ่ายระบบชำระเงิน Emerging Payments ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ กล่าว<br />
<br />
<br />
“นอกเหนือไปกว่านั้น สมาร์ทโฟนกลายเป็นอุปกรณ์ที่นักชอปในภูมิภาคของเราให้ความไว้วางใจ และมาสเตอร์การ์ดก็ได้มีการพัฒนานวัตกรรมในระบบชำระเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสะดวกสบาย และความมั่นใจในความปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคที่ใช้จ่ายออนไลน์”<br />
<br />
จากโครงการความร่วมมือ “โมบาย มันนี” หรือ “MasterCard Mobile Money Partnership Program” มาสเตอร์การ์ดได้ร่วมงานกับพันธมิตรผู้ให้บริการแพลตฟอร์มชั้นนำของโลกอย่าง Comviva, Sybase 365 และ Utiba เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าและบริการผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้ตามร้านค้าธรรมดาและร้านค้าออนไลน์ทั่วโลก รวมทั้งสามารถโอนเงินและชำระค่าใช้จ่ายผ่านทางมือถือได้ด้วย<br />
<br />
<br />
<br />
<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="left" class="body" valign="middle"><span style="color: #003366;">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</span></td><td align="left" class="date" valign="middle">30 เมษายน 2555 </td></tr>
</tbody></table>
<br />
<a href="http://bit.ly/JHM57L">http://bit.ly/JHM57L</a><br />Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-79501942727140213182012-04-26T19:59:00.001+07:002012-04-26T19:59:13.417+07:00SMEs โมเดลใหม่<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj40S_GBYUuOTY3i-KcW9D86U_I5oYEVffMc4rIj41ETRrCGQ3p9cTrEKOgEto48kvaZyn7lL7aPFmglz3mSfil99iolD-35Bh_3r-m6DXdQGOot7xnywDXOCZXW6yQ0tkUWHhUJOwr2MQ/s1600/biz01260455p1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="222" oda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj40S_GBYUuOTY3i-KcW9D86U_I5oYEVffMc4rIj41ETRrCGQ3p9cTrEKOgEto48kvaZyn7lL7aPFmglz3mSfil99iolD-35Bh_3r-m6DXdQGOot7xnywDXOCZXW6yQ0tkUWHhUJOwr2MQ/s400/biz01260455p1.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<strong>SMEs โมเดลใหม่ สู่ยุค "โมบาย ดีไวซ์" ถ้าเข้าใจ ก็ไปต่อ</strong><br />
<br />
มีเว็บไซต์ใช้บล็อกขายผ่านอาลีบาบาสำหรับเอสเอ็มอี ดูจะเป็นพื้นฐานที่ผู้ประกอบการต้องรู้อยู่แล้ว ไม่รู้แม้จะไม่ผิดแต่ก็ล้าหลัง ถ้าจะให้อินเทรนด์กว่านี้ การใช้แท็บเลต สมาร์ทโฟน ในการทำธุรกิจ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเริ่มเรียนรู้ <br />
<br />
<br />
สมาร์ทโฟนทำให้ออฟฟิศเล็กลง ทำงานเร็วขึ้น การสื่อสารสั้นกระชับ อาชีพใหม่ ๆ และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ขณะที่มีการพัฒนาบรรดาสมาร์ทโฟนค่ายต่าง ๆ รวมทั้งบรรดาผู้ที่พัฒนาระบบปฏิบัติการแบบใหม่บนมือถือด้วย <br />
<br />
น.ส.ศรัญญา อัศดาชาตรีกุล รองผู้บริหารระดับสูง บริษัท Mobile Technology ในกลุ่มบริษัท I AM Consulting จำกัด แนะนำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่จะก้าวสู่การทำธุรกิจผ่านอุปกรณ์โมบายดีไวซ์ เช่น สมาร์ทโฟน หรือแท็บแลต <br />
<br />
<strong><u>แองกรีเบิร์ดเข้าใจ "สมาร์ทโฟน"</u></strong><br />
<br />
จะเรียกว่า เข้าใจทั้งไอโฟน แท็บเลต และกลุ่มผู้ใช้เลยก็ว่าได้ เพราะการใช้ระบบทัชสกีน มาเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจเกม ผู้พัฒนาเกม สามารถที่จะดึงกลุ่มคนที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมจริงจัง เข้ามาเล่นเกมได้ ใช้เวลาสั้น แองกรีเบิร์ดมีการขายลิขสิทธิ์ เป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย จากการพัฒนาเกม โดยผ่านแอปเปิลสโตร์ของแอปเปิล ซึ่งผู้พัฒนาเกมสามารถที่จะเข้าถึงตลาดของสาวกแอปเปิล ที่มีสมาชิกทั่วโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว กว่า 2 ปีที่แองกรีเบิร์ดเริ่มเติบโต จากเกมบนมือถือ ที่ปัจจุบันมีคนดาวน์โหลดแล้วไม่ต่ำกว่า 700 ล้านครั้ง อีกความสำเร็จหนึ่งของคนที่เข้าใจสมาร์ทโฟน <br />
<br />
<strong><u>เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ พื้น ๆ</u></strong> <br />
<br />
สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ การใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ในการแสดงความมีตัวตน เป็นเรื่องปกติ เช่น การถ่ายรูปสวยของตัวผลิตภัณฑ์ อัพเดตบรรยากาศของรีสอร์ต ส่งขึ้นเฟซบุ๊ก แล้วเกิดการแชร์ต่อไปเรื่อย ๆ ในเครือข่ายของสมาชิกแต่ละคน หมอดูรุ่นใหม่ใช้เฟซบุ๊กให้คำปรึกษากับสมาชิก จากที่เคยใช้สื่อสิ่งพิมพ์ในการสร้างเครือข่ายเป็นเวลาหลายปี แต่เฟซบุ๊กสามารถติดตามผลได้เลย ทวิตเตอร์เองเป็นการพูดคุยอีกช่องทางหนึ่งและบอกข่าวไปสู่เครือข่ายได้ตลอดเวลา <br />
<a name='more'></a><br />
ทั้ง 2 แบบต้องใช้เวลา ไม่สามารถที่จะสร้างเครือข่ายในข้ามคืนได้ แต่หากเทียบกับการตลาดแบบเก่า ก็ยังเร็วกว่าอยู่ดี และสามารถที่จะกระจายไปอย่างรวดเร็ว ประหยัด ที่สำคัญเป็นช่องทางหนึ่งในการจะสร้างแบรนด์ลอยัลตี้อีกด้วย <br />
<br />
<strong><u>ปิดการขายด้วย "แท็บเลต"</u></strong><br />
<br />
สำหรับเอสเอ็มอี ส่วนที่ควรจะเริ่มทำอย่างด่วนจี๋ก็คือการเพิ่มยอดขาย หรือสร้างเครื่องมือที่ฝ่ายขายทำงานได้เร็วขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ การใช้โปรแกรม Foursquare "เช็กอิน" สมาร์ทโฟน ที่เราจะเห็นในเฟซบุ๊กของร้านอาหารหลายร้านใช้โปรแกรมนี้ เพื่อลดราคาให้กับลูกค้าที่ช่วยประชาสัมพันธ์ด้วย หรือแม้แต่งานของพนักงานขายเครื่องสำอาง ที่ต้องมีรูปแบบผลิตภัณฑ์หลากหลาย มีตัวอย่างทดลองใช้ <br />
<br />
"ตอนนี้เราสามารถที่จะทำแอปพลิเคชั่นสำหรับฝ่ายขายขึ้นมาเลย เช่นมีรูปผลิตภัณฑ์แบบต่าง ๆ มีผลิตภัณฑ์ให้ทดลองใช้ แต่บางครั้งผลิตภัณฑ์ทดลองใช้อาจจะไม่ครบตามที่ลูกค้าต้องการ หรือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด แอปพลิเคชั่นของฝ่ายขายสามารถที่จะจำลองภาพใบหน้าลูกค้าและ ทดลองแต่งหน้าโดยเลือกสีที่เหมาะสม และสั่งซื้อได้ทันที อีกด้าน พนักงานขายสามารถเชื่อมกับระบบสต๊อกเพื่อที่จะทราบว่ามีสินค้าเท่าไหร่ ถึงมือลูกค้าภายในเวลากี่วัน" <br />
<br />
อีกบริการหนึ่ง อาจจะยกออกมาจากเว็บไซต์ ก็คือ การทำแอปพลิเคชั่น หลังการขายและตอบปัญหาให้กับลูกค้า "การรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ ลงทุนน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่" <br />
<br />
ตรงนี้เองที่ทางบริษัทหลายแห่ง ตั้งแผนกนี้ขึ้นมา เพื่อตอบปัญหาให้กับลูกค้าโดยเฉพาะ<br />
<br />
"ผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อม ในเรื่องข้อมูลด้วย เพราะโมบายดีไวซ์เป็นเพียงด่านหน้าเท่านั้น แต่ระบบฐานข้อมูลทั้งหมดจะต้องพร้อม ไม่งั้นจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี" น.ส.ศรัญญากล่าว <br />
<br />
หลังบ้านลดต้นทุน<br />
<br />
การจัดการหลังบ้านด้วยเทคโนโลยี จะช่วยให้การจัดการเอกสารที่ต้องการการอนุมัติ มีความสั้นกระชับ ผลก็คือ งานที่อาจจะต้องใช้เวลา เช่นแผนกเลขาฯ ฝ่ายบุคคล จำนวนคนในส่วนนี้สามารถที่จะจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น<br />
<br />
"กรณีที่เห็นได้ชัด เช่น การอนุมัติ การลาต่าง ๆ เราสามารถที่จะส่งฟอร์มใบลาไปยังคนอนุมัติได้โดยตรง จากแอปพลิเคชั่นที่เราทำขึ้นมา ฝ่ายบุคคลและผู้ที่เกี่ยวข้องก็จะทราบว่าวันนี้มีใครลาบ้าง ขณะที่ผู้ลาสามารถตรวจสอบได้เลยว่า เคยลามาแล้วกี่ครั้ง ยังเหลือวันลาอะไรบ้าง หรือประวัติส่วนตัวต่าง ๆ ประหยัดเวลาในการจัดทำเอกสาร" <br />
<br />
สำหรับประตูสู่ AEC ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นโอกาสของเอสเอ็มอีก็จริง แต่หากเราไม่เตรียมตัวให้ดี เราก็อาจจะเสียโอกาสได้เช่นกัน โดยเฉพาะลาว กัมพูชา เวียดนาม ระบบ 3G รุดหน้าไปไกลกว่าเรามากแล้ว<br />
......................................................<br />
<br />
สมาร์ทโฟน แท็บเลต ดันรายได้พุ่ง<br />
<br />
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) สำรวจการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเลตมาช่วยในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในภาคการท่องเที่ยว ภาคการค้า และภาคบริการจำนวน 422 ราย ใน 18 จังหวัด ระหว่างวันที่ 4-10 เมษายน พ.ศ. 2555<br />
<br />
พบว่า ภาคการท่องเที่ยวมีการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเลตมาช่วยในการทำธุรกิจมากที่สุดคิดเป็น 62.1% ภาคการค้า 59.3% และภาคบริการ 48.6%<br />
<br />
กลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการที่มีอายุไม่เกิน 25 ปี เป็นกลุ่มที่ใช้อุปกรณ์ทั้ง 2 ชนิดนี้มาช่วยในการทำธุรกิจมากที่สุดคิดเป็น 65.4% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดในช่วงอายุนี้คือ ช่วงอายุ 26-30 ปี 61.7% ช่วงอายุ 31-35 ปี 52.3% ช่วงอายุ 36-40 ปี 38.3% และ 41 ปีขึ้นไป 30.5%<br />
<br />
เมื่อสอบถามถึงเหตุผลสำคัญที่สุดในการเลือกใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเลตมาช่วย กลุ่มตัวอย่าง 27.7% ระบุว่า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อทำธุรกิจ 26.9% เพื่อลดต้นทุนในการทำธุรกิจ 25.4% เพื่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 17.7% เพื่อความสะดวกในการค้นหาข้อมูล และอีก 2.3% เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงิน<br />
<br />
ในด้านรายได้และการประหยัดเวลา การใช้อุปกรณ์ทั้ง 2 ชนิดนี้เข้ามาช่วยในการทำธุรกิจ ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมโดยเฉลี่ยประมาณ 18.3% สามารถประหยัดเวลาในการติดต่อประสานงานและการเดินทางได้โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 7.1 ชั่วโมงสำหรับผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ และ 4.3 ชั่วโมงสำหรับผู้ประกอบการในต่างจังหวัด<br />
<br />
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเลตมาช่วย เป็นการเอาชนะข้อจำกัดทางด้านต้นทุนและการหาทำเลที่เหมาะสม ทำให้ต้นทุนไม่สูงจนเกินไปนัก โดยเฉพาะกับธุรกิจในระยะเริ่มต้น หมายถึงโอกาสในการอยู่รอดที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้แล้วการแข่งขันกันในโลกออนไลน์นั้น ขนาดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของผู้ที่รู้จักใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม ก็มีสิทธิ์แจ้งเกิดได้เหมือนกัน<br />
<br />
<br />
ประชาชาติธุรกิจ 26 เมย 2555 <br />
<a href="http://bit.ly/JI7srv">http://bit.ly/JI7srv</a><br />
<br />Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-69098415555554331542012-04-16T21:16:00.001+07:002012-04-16T21:33:50.998+07:00รวม "ที่สุด" ในชีวิตของ "ต๊อบ" วัยรุ่นพันล้าน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKh_crl7wgN-bH2Ey0imrn_BMQbCx19KslifwjMFbXA1QU5yjXWFROovCkhpr_VcPEM5XUCEGDKE34EClQPasVs6ZWF_1qizUMhhm8OyN1ObGP4MQ9LpoKKonpqZFQ2P0Ie4dOf3kDzUo/s1600/555000004735501.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" nda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKh_crl7wgN-bH2Ey0imrn_BMQbCx19KslifwjMFbXA1QU5yjXWFROovCkhpr_VcPEM5XUCEGDKE34EClQPasVs6ZWF_1qizUMhhm8OyN1ObGP4MQ9LpoKKonpqZFQ2P0Ie4dOf3kDzUo/s400/555000004735501.jpg" width="308" /></a></div><br />
<br />
<span style="color: #333333;"><strong>ณ เวลานี้ หากใครนึกอยากรับประทาน "สาหร่ายทะเลอบกรอบ" เชื่อว่าหลาย ๆ คนสามารถหลับตาแล้วเห็นภาพ "เถ้าแก่น้อย" ขึ้นมาได้อย่างชัดเจน เพราะนั่นคือยี่ห้อสาหร่ายที่มี "ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เด็กหนุ่มวัย 20 ต้น ๆ เป็นหัวเรือใหญ่ต่อสู้มาอย่างบากบั่น เริ่มต้นจากธุรกิจเกาลัด ก่อร่างสร้างตัวจนกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจเถ้าแก่น้อยที่ทำยอดขาย 2,000 ล้านบาทในปี 2554 เรียกได้ว่า ติดตลาด และครองใจผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมายไปแล้ว</strong></span><br />
<br />
วันนี้ทีมงาน Life & Family ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ถึง 5 เรื่องราวความเป็นที่สุดในชีวิตที่ถึงแม้จะใช้เวลาพูดคุยกันเพียงไม่กี่นาที แต่ก็ทำให้เรารู้จัก และเห็นแง่มุมชีวิตของวัยรุ่นพันล้านรายนี้กันได้ดียิ่งขึ้น ส่วน 5 เรื่องความเป็น <span style="color: #333333;"><strong>"ที่สุด" </strong></span>ของเขาจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านพร้อม ๆ กันเลยครับ<br />
<br />
<strong>1. ช้าที่สุด</strong> <br />
เห็นตี๋ ๆ และดูเรียบร้อยแบบนี้ ลึก ๆ แล้วแสบสันต์ไม่เบาเหมือนกัน ต๊อบเล่าว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากป.6 ขึ้น ม.1 จากเด็กที่เคยใส่แว่น และค่อนข้างใส่ใจการเรียน พอมาเจอเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เขาถอดแว่นออก และไม่สนใจเรียน เพราะรู้สึกว่า เด็กเรียนสาวไม่มอง แต่ถ้าเฮี้ยว ๆ สาวจะมอง และเมื่อมีกลุ่มเพื่อนมากขึ้น ความเฮี้ยวก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากที่ไม่เคยโดดเรียน ก็เริ่มโดดเรียน และไปโรงเรียนสายเป็นประจำ ทำให้ผลการเรียนตกลงเรื่อย ๆ และจบม.3 ออกมาด้วยเกรดเฉลี่ย 0.8<br />
<br />
นอกจากนี้ เขามักจะให้ความสำคัญกับเพื่อน และผู้หญิงมาก ถ้ามีเงินเขาจะเต็มที่กับเพื่อน และสาว ๆ ของเขา จนคุณครูประจำชั้นเขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในสมุดพกเลยว่า "มนุษยสัมพันธ์ดี พูดเก่ง เถียงเก่ง ไม่ค่อยเรียน ติดผู้หญิง" นับเป็นความซ่าที่อยู่ในใจไม่รู้ลืม<br />
<br />
ไม่เพียงเท่านั้น เขาเคยเกือบจะทำให้เพื่อนม. 5 กับรุ่นพี่ม. 6 ยกพวกตีกันด้วยเรื่องผู้หญิงมาแล้ว โดยเรื่องนี้ เขาเล่าย้อนกลับไปว่า ตอนอยู่ม.5 มีสาวคนหนึ่งมาชอบพอกับเขา แต่สาวที่เป็นถึงดาวโรงเรียนคนนั้นกลับมีแฟนอยู่แล้วนั่นก็คือรุ่นพี่ม. 6 จนเรื่องทราบถึงหูรุ่นพี่ และทำให้รุ่นพี่โมโหมาก กระทั่งวันหนึ่งเมื่อเห็นคู่อริ (ต๊อบ) เดินมา รุ่นพี่ไม่รอช้ารีบปรี่เข้าไปหา และกระโดดถีบทันที<br />
<br />
<a name='more'></a> <br />
เหตุการณ์ในตอนนั้น ทำให้เพื่อน ๆ ของเขาที่อยู่ในโรงอาหารลุกขึ้นมาสมทบ และเริ่มมีการขว้างปาจานชามกันขึ้น สุดท้ายก็ถูกครูเรียกสอบสวน แต่ที่หนักสุด ๆ คือคำพูดของแม่ที่บอกว่า <span style="color: #333333;"><strong>"ลูกผู้ชายทำอะไรต้องมีจริยธรรม"</strong></span> เมื่อได้ฟังดังนั้นเขาถึงกับน้ำตาคลอเบ้า และสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ก่อเรื่องแบบนี้ให้แม่เสียใจอีก<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRZq5xCjBRK3DB_5ob1JOshrFB_huw_eYfQfUzsMtmRHp2VyWyLEGUBTGSVc1bDJ6AzZKdb5PnGZ7aHu1Nyz-KdttPuQX5GBkKXbdKI0wmOQyTpR57shpSQ80T2FQkZurU-A4JKywMAQE/s1600/555000004735502.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" nda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRZq5xCjBRK3DB_5ob1JOshrFB_huw_eYfQfUzsMtmRHp2VyWyLEGUBTGSVc1bDJ6AzZKdb5PnGZ7aHu1Nyz-KdttPuQX5GBkKXbdKI0wmOQyTpR57shpSQ80T2FQkZurU-A4JKywMAQE/s400/555000004735502.jpg" width="400" /></a></div><br />
<br />
<strong>2. รักที่สุด</strong><br />
เมื่อถามถึงสิ่งที่รักมากที่สุดในชีวิตของต๊อบ "แม่" คือคำตอบของคำถามนี้ เพราะแม่คือผู้หญิงที่มีอิทธิพลกับชีวิตเขามาก ถึงแม้จะดื้อ และเกเรพอสมควร แต่เขาก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะกลัวแม่เสียใจ และไม่เคยริลอง หรือคิดสูบบุหรี่ เพราะกลัวแม่จะได้กลิ่นบุหรี่ นอกจากนั้น แม่ยังเป็นแรงผลักดันให้เขาเริ่มหันมาทำธุรกิจด้วย เนื่องจากมีอยู่ช่วงหนึ่ง ครอบครัวถูกพิษวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 พ่นใส่ ส่งผลให้ที่บ้านเป็นหนี้ 40 ล้าน ซึ่งเขามักจะเห็นคุณแม่นั่งร้องไห้อยู่บ่อย ๆ และด้วยน้ำตาของคนที่รักมากที่สุดนี่เอง ทำให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ และมุ่งมั่นหาช่องทางเพื่อสร้างรายได้ เพราะอยากให้แม่ และคนในครอบครัวกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนเดิม<br />
<br />
<span style="color: maroon;">"แม่เป็นผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด แม้ว่าท่านจะลำบาก หรือติดหนี้หลาย 10 ล้าน แต่แม่ก็ไม่เคยทิ้งผม หรือวันไหนถ้าผมรู้สึกท้อ และต้องการกำลังใจ แม่จะอยู่ข้าง ๆ ผมตลอด ยกตัวอย่างตอนที่ผมทำธุรกิจเกาลัด กว่า 30 สาขาแทบจะเจ๊งเพราะมีปัญหาเรื่องควัน ตอนนั้นผมขาดกำลังใจอย่างแรง แต่แม่เป็นคนเดียวที่อยู่กับผมตลอดเวลา และแม่จะสอนผมเสมอว่า เป็นคนต้องยอมเสียเปรียบบ้าง เพื่อรักษาบางอย่าง หรือให้ได้ส่วนอื่นที่มากกว่า"</span> ต๊อบเผยความรู้สึกถึงแม่<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh86Rmhia7C13AAP1j1zu18mE8J97pVqFBUAQoDtsGEQVMBzUppIEK-e_71WqKNEZQqdY8U2nMR5HogC8x3_2A94GHygW_jXmgZUwf-hAOArQ_cCLf26tasNd9P_zED6XVWxUHRyED6fH0/s1600/555000004735503.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" nda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh86Rmhia7C13AAP1j1zu18mE8J97pVqFBUAQoDtsGEQVMBzUppIEK-e_71WqKNEZQqdY8U2nMR5HogC8x3_2A94GHygW_jXmgZUwf-hAOArQ_cCLf26tasNd9P_zED6XVWxUHRyED6fH0/s400/555000004735503.jpg" width="291" /></a></div><br />
<strong>3. เหนื่อยที่สุด</strong><br />
สำหรับช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุด ต๊อบบอกว่า เป็นช่วงที่เริ่มส่งสาหร่ายเถ้าแก่น้อยให้ร้านสะดวกซื้อกว่า 3,000 สาขา ตอนนั้นมีเวลา 3 เดือนที่จะต้องสร้างโรงงานให้เสร็จ แต่ที่หนัก และเหนื่อยกว่านั้นคือ การได้รับใบสั่งซื้อให้ทำสาหร่าย 400 ลัง และต้องส่งของภายในเวลา 7 วัน ซึ่งถือว่าหนักเอาการอยู่เหมือนกัน เพราะปกติผลิตเต็มที่ได้วันละ 40 ลัง 7 วันก็ 280 ลัง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ ถึงจะถูกปรับไป 2,000 บาท เพราะส่งของล่าช้าไป 2 ชั่วโมง แต่ก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมา<br />
<br />
<span style="color: maroon;">"ช่วงนั้นผมอดหลับอดนอนมาตลอด 7 วัน คืนสุดท้าย ผมเหนื่อย และง่วงมาก จึงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ เห็นตัวเองในกระจก ตกใจมากนึกว่า หลินฮุ่ย เพราะขอบตาดำปี๋เลย แต่พอออกมาเจอแม่ แม่เข้ามากอดผม ผมจำภาพวันนั้นได้ดี จำได้ว่า ทุกคนในครอบครัว เราช่วยกัน เราเหนื่อยด้วยกัน ผมเห็นพ่อนั่งแพ็คสาหร่าย เห็นแม่ใส่หมวก ใส่ที่ครอบผมนั่งทำงาน ดังนั้นผมบอกได้เลยว่า ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีผมในวันนี้"</span> ต๊อบเผยถึงพลังแห่งความรักของครอบครัวที่ผลักดันให้เขามีวันนี้<br />
<br />
<br />
<strong>4. เศร้าที่สุด</strong> <br />
เมื่อเอ่ยถึงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แน่นอนว่า หลายคนอาจมีความเศร้า และเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาแตกต่างกันไป เช่นเดียวกับต๊อบ ตลอดชีวิตของเขาล้วนมีเหตุการณ์ที่ทำให้เสียน้ำตาอยู่หลายเรื่อง แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่เขาเสียใจ และรู้สึกเศร้าแบบสุด ๆ นั่นก็คือ การเห็นภาพคุณแม่อยู่ในสถานที่ที่ไม่ควรอยู่ (เขาขออนุญาตไม่เล่า เพราะมันเลวร้ายสำหรับเขามาก) ซึ่งภาพความลำบากของแม่ในวันนั้น ทำให้เขามีแรงฮึด และผลักดันตัวเองให้เดินหน้าต่อไป ถึงแม้จะเจอกับปัญหามากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่เขายึดถือ และท่องขึ้นใจมาตลอดคือ "อย่ายอมแพ้" และวันนี้เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันคือหัวใจของความสำเร็จอย่างแท้จริง<br />
<br />
<strong>5. ภูมิใจที่สุด</strong> <br />
ปิดท้ายกันด้วยความภูมิใจที่สุดในชีวิต ต๊อบบอกว่า ชีวิตนี้ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ วันที่มีคนชื่นชม และหลงใหลในสินค้าของเขา และด้วยสินค้าที่ติดตลาด และทำรายได้พุ่งพรวดนี้เอง ทำให้ในปี 2550 (3 ปีหลังจากตั้งบริษัทเถ้าแก่น้อยฯ) เขาสามารถใช้หนี้ 40 ล้านบาทของครอบครัวได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจที่เขารู้สึกว่า มันมาไกลเกินกว่าที่ตัวเองตั้งใจไว้มาก แต่เกมธุรกิจยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะอนาคตเขาวาดหวังอยากทำให้ธุรกิจเถ้าแก่น้อยมียอดขายทะลุ 10,000 ล้าน และกลายเป็นสินค้าที่อยู่ในใจผู้บริโภคทั้งคนไทย และคนทั่วโลกให้ได้<br />
<br />
<span style="color: #333333;"><strong>ไม่แปลกที่เรื่องราวของเขาจะเข้าตาผู้ใหญ่ค่ายจีทีเอช และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ วัยรุ่นพันล้าน (Top secret) ที่สร้างความสำเร็จในเรื่องของคนดูได้มากขนาดนี้ และนี่คือ "ต๊อบ-อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เถ้าแก่น้อยพันล้าน ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวมากมาย</strong></span><br />
<br />
<br />
<span style="color: #333333;"><br />
</span><br />
<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="left" class="body" valign="middle"><span style="color: #003366;">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</span></td><td align="left" class="date" valign="middle">16 เมษายน 2555 </td></tr>
</tbody></table><br />
<a href="http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000047361">http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000047361</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-48291784209186842832012-04-06T14:27:00.000+07:002012-04-06T14:27:50.704+07:00การตลาดแบบโดมิโน สร้างข่าวเด่นประหยัดงบโฆษณา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkkOe-AMjGGcqCQs5Gk2wELGwF6LSqKKW2j080YtGx5lnUX2FF9qID5mj7Ivp62J2w8m1HwZD7mZ8bIE9fUbbwMr1hr9qLAK6eARh8CYrBH0ZfxuTAdJSdmsiBEpVCcz0i3ntd-zBnwDA/s1600/200x138-images-stories-article2012-2728-2102.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="276" nda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkkOe-AMjGGcqCQs5Gk2wELGwF6LSqKKW2j080YtGx5lnUX2FF9qID5mj7Ivp62J2w8m1HwZD7mZ8bIE9fUbbwMr1hr9qLAK6eARh8CYrBH0ZfxuTAdJSdmsiBEpVCcz0i3ntd-zBnwDA/s400/200x138-images-stories-article2012-2728-2102.jpg" width="400" /></a></div><br />
ทรรศนะของผู้บริโภคญี่ปุ่นที่มีต่อพิซซ่านั้น แตกต่างกับของผู้บริโภคอเมริกันที่มองว่าพิซซ่าเป็นของกินที่บริโภคได้บ่อยๆ ได้เรื่อยๆ เหมือนหายใจเข้า-ออก ไม่ต้องรอวาระพิเศษอะไร แต่สำหรับคนญี่ปุ่นที่คุ้นชินกับข้าวและอุด้งมากกว่า พิซซ่านับเป็นของกินเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่นวันคริสต์มาสอีฟ ซึ่งสมาชิกครอบครัวนั่งร่วมวงกินอาหารพร้อมหน้ากัน และอาหารพิเศษบนโต๊ะก็คือ พิซซ่าถาดใหญ่ ที่ทุกๆคนในครอบครัวจะได้ร่วมแบ่งปันความอร่อย ในวันพิเศษเช่นนี้ โดมิโน สามารถทำยอดขายได้มากกว่าวันหยุดทั่วไป 3-4 เท่า <br />
<br />
<br />
เคนจิ อิเคดะ รองประธานฝ่ายการตลาดของโดมิโน พิซซ่า ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ในอดีต คนญี่ปุ่นคุ้นกับไก่ทอดเคเอฟซีมากกว่าพิซซ่า พอถึงวันคริสต์มาสก็จะสั่งไก่เคเอฟซีมากินกับเค้กคริสต์มาส แต่บริษัทก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ผู้บริโภคสั่งพิซซ่ากินกับเค้กคริสต์มาสและไก่เคเอฟซี ซึ่งก็ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางบวกสำหรับโดมิโน<br />
<br />
นับตั้งแต่ โดมิโน พิซซ่า เชนร้านพิซซ่าสัญชาติอเมริกัน เข้ามาบุกเบิกเปิดสาขาแรกในประเทศญี่ปุ่นในปี 2528 บริษัทสามารถทำส่วนแบ่งตลาดในเซ็กเมนต์พิซซ่าดีลิเวอรี (พิซซ่าส่งนอกสถานที่) ได้ 15% และนับเป็นเชนร้านพิซซ่าอันดับสามในแง่รายได้และจำนวนสาขา รองจากร้านพิซซ่า-แอลเอ (Pizza-LA) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการพิซซ่าดีลิเวอรีของญี่ปุ่นเอง และพิซซ่า ฮัท อย่างไรก็ตาม อัตราเฉลี่ยการบริโภคพิซซ่าของคนญี่ปุ่นยังต่ำมาก คือ 4 ครั้ง/คน/ปี ดังนั้นผู้บริหารของโดมิโนจึงตั้งเป้าบุกหนักกระตุ้นการบริโภคพิซซ่า โดยเฉพาะในปี 2555 นี้ บริษัทตั้งเป้าเอาชนะพิซซ่า ฮัทให้ได้ในแง่รายได้<br />
<a name='more'></a><br />
ดังนั้น กลยุทธ์ที่โดมิโนนำมาใช้ ก็คือการกระตุ้นเตือนให้คนญี่ปุ่นเห็นว่าพิซซ่าเป็นอาหารที่พลาดไม่ได้ในวาระพิเศษต่างๆของชีวิต ซึ่งรวมไปถึงวันวาเลนไทน์ ที่โดมิโนออกแบบกล่องพิเศษเป็นรูปหัวใจสีชมพู พร้อมสกรีนข้อความหน้ากล่องว่า "โปรดระวัง ร้อน...ทั้งพิซซ่าและคุณสองคน" โดมิโนจะนำ กล่องพิซซ่ารูปหัวใจไปใช้สำหรับวันแม่ปีนี้ด้วยเช่นกัน<br />
<br />
ด้านการโฆษณาซึ่งโดมิโนมอบหมายให้บริษัทเอดีเคและฮักกุโฮโดเป็นผู้ดูแลนั้น บริษัทหลีกเลี่ยงการใช้สื่อโทรทัศน์มาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว แต่หันมาใช้สื่อใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างอินเตอร์เน็ตและเว็บไซต์โซเชียลมีเดียแทน "แทนที่จะใช้เงินไปกับโฆษณาทางทีวี เราเลือกใช้วิธีสร้างประเด็นที่เป็นเหมือนข่าวเพื่อให้คนบอกกล่าวและพูดถึงต่อๆกันไป ถ้าหัวข้อนั้นมันสนุกและน่าสนใจ ผู้คนก็จะแพร่กระจายมันออกไปให้เราเอง ถึงเราจะไม่ได้ใช้เงินโฆษณาเลย แต่ก็มีการเขียนข่าว เขียนบทความถึงแบรนด์ของเรา" อิเคดะกล่าว ยกตัวอย่าง แค่หน้าพิซซ่าของโดมิโนก็สร้างเสียงฮือฮาได้กระหึ่มแล้ว เพราะสิ่งที่ลูกค้าสามารถเลือกโรยหน้าพิซซ่านั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลย ตัวอย่างเช่น พิซซ่าหน้าตับห่านบดแบบฝรั่งเศส (ฟัวกราส์) ราคาถาดละ 50 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,550 บาท) และพิซซ่า "เพรจทีจ ควัตโตร" ที่มี 4 หน้าในถาดเดียว (ราคา 50 ดอลลาร์ เช่นกัน) พร้อมทางเลือกที่แตกต่างไปจากหน้าพิซซ่าทั่วไป เช่น หน้าปูหิมะ หน้ากราแต็งกุ้ง หน้าหมูซอสบอร์โดซ์ และหน้าสตูว์เนื้อโรยด้วยมอสซาเรลลาชีส เป็นต้น นอกจากนี้กิจกรรมโปรโมชันต่างๆของโดมิโนยังสร้างหัวข้อสนทนาได้อย่างกว้างขวางเสมอ เช่น การมอบพิซซ่าฟรีให้กับคนที่เกิดวันเดียวกับวันก่อตั้งโดมิโนในประเทศญี่ปุ่น การแจกพิซซ่าฟรีให้กับคนที่เข้ามาสั่งพิซซ่าทางออนไลน์เป็นลำดับที่ 25 ของทุกๆวัน การมอบโล่ให้กับลูกค้าที่สั่งอาหารทุกอย่างในเมนู (73 รายการ) เป็นต้น<br />
<br />
สก๊อต เค. เอิลเคอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโดมิโน พิซซ่า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคนอเมริกัน ยอมรับว่าแม้แต่ร้านพิซซ่าอย่างหรูในอเมริกา ยังไม่มีหน้าพิซซ่าระดับเลิศอย่างที่โดมิโน พิซซ่า ญี่ปุ่น (ซึ่งเป็นบริการดีลิเวอรี) นำเสนอ กุญแจดอกหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จของโดมิโนก็คือ บริษัทตระหนักดีว่า ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับหน้าตาที่สวยงามน่ารับประทานของอาหาร ดังนั้นการนำเสนอหน้าตาของพิซซ่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ พิซซ่าทุกชิ้นจะมีหน้าเท่าๆกัน จัดวางอย่างมีระเบียบสวยงาม ยกตัวอย่าง การวางกุ้ง หางจะชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีเปะปะ สีสันก็ต้องออกมาดูดี ปัจจุบัน โดมิโนมี 210 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น (ในสหรัฐฯมี 4,907 สาขา) แต่สามารถทำยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาสูงกว่าในสหรัฐฯ เกือบ 50% และความสามารถในการทำยอดขายก็สูงขึ้น 3 ปีติดต่อกันแล้ว<br />
<br />
<br />
<br />
(ฐานเศรษฐกิจ <a href="http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=115467:2012-04-03-02-36-40&catid=205:2010-06-17-06-09-37&Itemid=577">http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=115467:2012-04-03-02-36-40&catid=205:2010-06-17-06-09-37&Itemid=577</a>)Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-81366993963617378372012-04-01T16:54:00.001+07:002012-04-01T16:55:29.594+07:00Work 3.0<strong>Work 3.0 รูปแบบการทำงานแห่งโลกอนาคตที่เกิดขึ้นแล้ววันนี้</strong><br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi21bzwJRZlWSyhFtYmtgUCv0Jk18ARDb3-xIEIdAg7DWIMLhMq51arTAP2uBGwi97FiCPz4s6zV_FGq6lOgERPyKMNpfeqIbQy7wC_n1bNF7WpZKOm2MEDGl__rwP5xxzcRyZHoymrseQ/s1600/outsourcing.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dea="true" height="306" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi21bzwJRZlWSyhFtYmtgUCv0Jk18ARDb3-xIEIdAg7DWIMLhMq51arTAP2uBGwi97FiCPz4s6zV_FGq6lOgERPyKMNpfeqIbQy7wC_n1bNF7WpZKOm2MEDGl__rwP5xxzcRyZHoymrseQ/s400/outsourcing.png" width="400" /></a></div><br />
คำว่า Work 3.0 ผมได้ยินครั้งแรกในเว็บไซต์ Odesk โดย Gary Swart; CEO แห่ง Odesk ได้อธิบายไว้ว่ารูปแบบการทำงานของโลกเราแบ่งออกเป็นสามรูปแบบ คือ Work 1.0, Work 2.0 และ ปัจจุบันคือรูปแบบของ Work 3.0 <br />
<br />
Work 1.0 เป็นรูปแบบการทำงานสไตล์ดั้งเดิมมีสำนักงาน ทุกคนต้องมาประจำที่ตนเองและทำงานแบบ 9-5 งานหลายอย่างเป็น manual, paper-work และ human base บุคคลากรส่วนใหญ่ต้องอยู่ประจำสำนักงานเพื่อจัดการกับ transaction ต่างๆขององค์กร <br />
<br />
Work 2.0 มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรกระบวนการทำงานเป็น paperless และมีการพึ่งพาระบบ ITมากขึ้น คนทำงานเริ่มมี dynamic ไม่จำเป็นต้องอยู่ประจำที่ มีการเคลื่อนไหวเดินทางไปพัฒนาธุรกิจนอกสถานที่มากขึ้น การรับส่งข้อมูลข่าวสาร การประมวลผลข้อมูลหรือรายงานสำคัญเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตขององค์กร พนักงานระดับ middle-senior และผู้บริหาร จึงสามารถทำงานสำคัญได้โดยไม่ต้องเข้าสำนักงานใหญ่<br />
<br />
Work 3.0 การทำงานแทบจะกลายเป็น no-boundary มีความยืดหยุ่นสูง มีการกระจายงานสู่ professional ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะพนักงานประจำขององค์กร แต่ออกไปสู่ outsource ที่ไม่ต้องอิงกับสถานที่และกาลเวลา งานบางอย่างส่งไปทำยังอีกซีกโลกหนึ่ง งานบางอย่างถูกจัดการผ่านช่วงวันหยุดโดยไม่ขัดต่อกฏหมาย สามารถแชร์ platform การทำงานต่างๆระหว่าง client และ contractor ผ่าน webbase เพื่อ merge ระบบการทำงานเข้าด้วยกัน<br />
<br />
การทำงานในรูปแบบของ Work 3.0 จึงถือว่าเป็นโลกแห่งการ outsource/ contract คนทำงานจากภายนอกอาจเรียกอีกอย่างว่า virtual working style เพราะเป็นการทำงานที่ไม่ต้องมาพบปะหน้าค่าตากัน การออเดอร์งาน ตอบรับคำสั่งงาน ส่งมอบชิ้นงาน โอนเงินรับเงิน ฯลฯ กระทำผ่านออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันแม้แต่งานธุรการก็ยังมีรูปแบบ outsource กันแล้วเรียกว่า virtual office administrator โดยอินเดียเป็นประเทศที่รับจ้างเป็น virtual office มากเป็นอันดับต้นๆของโลก<br />
<a name='more'></a><br />
Gary Swart บอกว่า Work 3.0 เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นและจะเป็นรูปแบบการทำงานสำหรับวันนี้และอนาคต เพราะธุรกิจใหม่ๆในปัจจุบันมีขนาดเล็กลง มี dynamic มากขึ้น ผู้ประกอบการจะมีทรัพยากรที่เป็น fixed-asset เท่าทีจำเป็นและที่เหลือคือ outsource ออกไปยัง professional ต่างๆ เพื่อบริหารต้นทุน ลดภาระที่ไม่จำเป็นและเพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันบุกตลาดธุรกิจอันเป็นกิจกรรมหลักของผู้ประกอบการ<br />
<br />
<br />
<strong>Survey จากทีม Odesk.com ได้ตัวเลขมาว่า;</strong><br />
<br />
76% ของผู้ประกอบการยอมรับว่าการจ้างงานแบบ outsource/contract เป็นแผนงานระยะยาวของพวกเขา <br />
<br />
89% ของผู้ประกอบการยอมรับว่าการกระจายงานไปสู่ outsource/contract ทำให้ธุรกิจของพวกเขามีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น <br />
<br />
87% ของผู้ประกอบการมองว่าการ outsource/contract จะเป็นแนวทางสากลปฏิบัติของแทบทุกองค์กรในอนาคต<br />
<br />
อีกฝากหนึ่งคือค่าย Elance เว็บ Outsource agency รายใหญ่รองจาก Odesk ที่เพิ่งออกมาประกาศว่ามี project สะพัดค่าย Elance ทะลุ 500 ล้านเหรียญในรอบปีที่ผ่านมาจรดเดือนกุมภาพันธ์ 2012 และเชื่อมั่นว่าสินปี 2012 นี้จะแตะระดับ 1000 ล้านเหรียญได้แน่นอนก็ได้เข้ามาร่วมสมทบตอกย้ำว่ากระแส Work 3.0 หรือรูปแบบการทำงานสไตล์ outsource/contract คือ revolution ใหม่ของโลกพร้อมกับ survey รับประกันความชัวร์ว่า<br />
<br />
83% ของผู้ประกอบการในอเมริกาจะหันไป outsource/contract บุคคลากรเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งบริษัทภายในปี 2012 <br />
<br />
ภายในปี 2020 ประชาการ 1 ใน 3 จะเป็นคนทำงานออนไลน์ แบบ Work 3.0 เป็นโลกของ virtual workplace/ virtual office <br />
<br />
จะเกิดปรากฏการณ์รวมตัวของ professional ในสาขาต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกในแบบออนไลน์ แลกเปลี่ยนทรัพยากร ความรู้ ข่าวสาร และการพัฒนาสายงาน ฯลฯ <br />
<br />
ข้อมูลที่บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งโลก Work 3.0 นำมาแชร์สั้นๆง่ายๆไม่ซับซ้อนแต่ขอบอกว่ามองข้ามไม่ได้ คุณต้องรู้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะถ้าโลกเปลี่ยนคุณไม่เปลี่ยนคุณตาย ปรับตัวให้ทันกับรูปแบบการทำงานแห่งอนาคตตั้งแต่วันนี้ แล้วจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดูจะเป็นวิกฤตสำหรับบางคนอาจเป็นที่สุดแห่งโอกาสที่จะแจ้งเกิดในชีวิตสำหรับคุณ… ขอให้นึกถึงคำสอนของ Charles Darwin เจ้าพ่อวิวัตนาการกันไว้...<br />
<br />
“สัตว์ที่จะอยู่รอดได้ไม่ใช่เพราะเป็นสัตว์แข็งแกร่งที่สุดหรือฉลาดที่สุด...แต่เป็นสัตว์ที่ปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงได้เก่งที่สุด!” <br />
<br />
<br />
บทความจาก <a href="http://careeralive.blogspot.com/2012/03/work-30.html">http://careeralive.blogspot.com/2012/03/work-30.html</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-58791282943353861902012-04-01T16:49:00.000+07:002012-04-01T16:49:52.757+07:00ความสำเร็จของแอปพลิเคชั่น "Draw something"เมื่อวันเสาร์ที่แล้วเป็นวันเกิดของผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่า ชาร์ล ฟอร์แมน<br />
<br />
<br />
หลายๆคนคงไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ซักเท่าไร <br />
<br />
แต่หากบอกว่า เขาเป็นเจ้าของบริษัท OMGPOP เจ้าของแอปพลิเคชั่นชื่อดัง<br />
<br />
“draw something” ที่กำลังได้รับความนิยมมากในขณะนี้ หลายๆคนคงจะร้องอ๋อกันเลยทีเดียว.... <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8m20vLkCJ4vivCf60P_Dt1DYMts_6BYk8_LSzJwqqlFUFv-CWcSl44T8afIpI7-qA0EIix3Fx_YLnu73SAz-qM4baC4Q6huJydzVGooRmES96q6v0L0riQPk7SculsaJH75ONfqjnDpw/s1600/images.jpeg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dea="true" height="299" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8m20vLkCJ4vivCf60P_Dt1DYMts_6BYk8_LSzJwqqlFUFv-CWcSl44T8afIpI7-qA0EIix3Fx_YLnu73SAz-qM4baC4Q6huJydzVGooRmES96q6v0L0riQPk7SculsaJH75ONfqjnDpw/s400/images.jpeg" width="400" /></a></div> <br />
ประวัติของชายคนนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากคนหนึ่ง <br />
<br />
<br />
ฟอร์แมนอายุครบ 32 ปีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาฉลองวันเกิดกับเพื่อนของเขาในนิวยอร์ค<br />
<br />
และในวันเดียวกันนั้น <strong>แซงก้าได้ตกลงซื้อบริษัทของเขา “OMGPOP”</strong><br />
<br />
<strong>ด้วยเงินสูงถึง 210 ล้านเหรียญดอลลาร์ ...หรือประมาณห้าพันล้านบาท</strong> <br />
<br />
หลังจากแอปพลิเคชั่นนี้มียอดการดาว์นโหลดสูงถึง 35 ล้านครั้งภายใน 5 สัปดาห์ <br />
<br />
<em>แต่...อาทิตย์ที่แล้ว ฟอร์แมนมีเงินในบัญชีเหลือเพียงแค่ 1700 เหรียญดอลลาร์ หรือ ห้าหมื่นกว่าบาทเท่านั้น </em><br />
<a name='more'></a><br />
<strong>เพียงแค่หนึ่งอาทิตย์จากนั้นฟอร์แมนกลายเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่ง</strong><br />
<br />
เขาเติบโตในชิกคาโก้ และไม่เคยเข้าเรียนในวิทยาลัยมาก่อน<br />
<br />
แต่ไหนแต่ไร เขาชอบเล่นเกมถึงแม้ว่าจะโดนผู้ใหญ่ห้ามอยู่บ่อยครั้งก็ตาม <br />
<br />
เขาต้องแอบเล่นเกมในโรงรถของเขาทุกวันในขณะที่พ่อแม่อยู่ที่ทำงาน และติดเกมอย่างงอมแงม<br />
<br />
ต้องเล่นทุกวันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขา<br />
<br />
ฟอร์แมนกล่าวว่า เขาสงสัยมาตลอดว่า ระบบการทำงานของเกมเป็นอย่าง<br />
<br />
ได้ศึกษาการเขียนโปรแกรมหลังจากนั้นเป็นต้นมา<br />
<br />
เริ่มแรก...บริษัทไม่ได้เริ่มจากการผลิตเกม แต่เริ่มจากการเป็นโปรแกรมหาคู่<br />
<br />
OMGPOP ผลิตเกมออกมาถึง 35 เกม แต่ก็ยังไม่ได้ทำให้บริษัทมีกำไร <br />
<br />
อีกทั้งยังทำให้บริษัทขาดทุนลงไปเรื่อยๆจนเกือบจะต้องปิดบริษัทหากไม่ได้แอปพลิเคชั้นนี้ <br />
<br />
ฟอร์แมนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชั่นนี้โดยตรงเพราะเขาลาออกจากบริษัทไปก่อน<br />
<br />
แต่ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เขาลาออกเพื่อไปก่อตั้งบริษัทอีกบริษัทหนึ่งชื่อว่า Picturelife<br />
<br />
" มันไม่แปลกหากคุณจะทำในสิ่งที่คุณรักโดยไม่สนใจอย่างอื่นในตอนที่คุณเป็นเด็ก<br />
<br />
แต่หากคุณอายุ 30 ความคิดมันจะเปลี่ยนไป คุณต้องคิดถึงคนรอบข้างคุณมากขึ้น<br />
<br />
นี้เป็นเหตุผลที่ผมออกมาตั้งบริษัทอีกบริษัทหนึ่ง" ฟอร์แมนกล่าว<br />
<br />
ฟอร์แมนซื้อตัว แดน พอตตอร์ เพื่อมาดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของบริษัทตั้งแต่ปี 2008<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDAJ55Obla4qARD_QYdQ-agLKI9uC6aqUGkQpCYOiwnWV8oGibSUNMyhyFuA2Deghh3szlYNlP_Z-EqGfYUD-FHDyRGb3x-lwo666JPO7nKbTqbSivbUafswwr7tLz2juk5wvcH7K6sSs/s1600/art_zynga1-420x0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dea="true" height="288" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDAJ55Obla4qARD_QYdQ-agLKI9uC6aqUGkQpCYOiwnWV8oGibSUNMyhyFuA2Deghh3szlYNlP_Z-EqGfYUD-FHDyRGb3x-lwo666JPO7nKbTqbSivbUafswwr7tLz2juk5wvcH7K6sSs/s400/art_zynga1-420x0.jpg" width="400" /></a></div> <br />
แดนเป็นหนึ่งในห้าคนที่พัฒนาแอปพลิเคชั่นนี้ขึ้นมา และเป็นคนที่มีความสำคัญกับบริษัทมาก <br />
<br />
<br />
แดนกล่าวว่าเป็นเวลากว่า 6 ปีที่บริษัทพยายามและฝันถึงความสำเร็จหลายๆเกม<br />
<br />
ที่เขาคิดขึ้นมาแล้วล้มเหลว หลายๆความพยายาม <br />
<br />
จนเขาเกือบจะปิดบริษัทลงเพราะบริษัทขาดทุนมาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา<br />
<br />
หลังจากแอปพลิเคชั้นนี้ปล่อยออกไป แดนเฝ้ามองการดาว์นโหลดในแต่ละวัน <br />
<br />
เขากล่าวว่า มันไม่เคยลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlpK6ngBzukHIYEsRr9VfTbTVCy8NEQ5bsoRcbzSvs3iOYM3Jluyu9T-GAIf7xlSmWDRwRuefekkbymqATgRRVmhPbt0OySxqScFEB2L2eEA0xzb2wG9olhL0Ps7b50cieqpInMV24zkA/s1600/art_zynga33-200x0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" dea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlpK6ngBzukHIYEsRr9VfTbTVCy8NEQ5bsoRcbzSvs3iOYM3Jluyu9T-GAIf7xlSmWDRwRuefekkbymqATgRRVmhPbt0OySxqScFEB2L2eEA0xzb2wG9olhL0Ps7b50cieqpInMV24zkA/s1600/art_zynga33-200x0.jpg" /></a></div> <br />
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีความพยายามใดๆที่ล้มเหลว <br />
<br />
<br />
เพียงแต่ว่าคุณอดทนกับเวลาที่เป็นเครื่องพิสูจน์ความแข็งเกร็งของคุณได้มากแค่ไหน <br />
<br />
เพราะหากผ่านมันไปได้แล้วความสำเร็จมันอยู่เพียงแค่เอื้อมเท่านั้นเอง.....:)<br />
<br />
<br />
บทความจาก S2M <br />
<a href="http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=30032">http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=30032</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-85457926898213801202012-02-28T09:32:00.000+07:002012-02-28T09:32:27.205+07:00ทำเงินอย่าง 'สมาร์ท' บน สมาร์ทโฟน<strong>วิถีชีวิตคนยุค 3G มีโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นโลกใบใหม่ อยู่กับสมาร์ทโฟน อย่าเมินเฉยต่อพฤติกรรมที่เห็น เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสทำเงินที่คาดไม่</strong><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgijXHnIXoR-7iMPhsuHbRb9dNhn1fwz-a6ddKRn-DudHuTtJtXsZpn42Ezc5twAJZrMprBtYxFR0_F9ywRaCay8KgaTLGlhyphenhyphen6P6R3K91jjILvKBZV-QV82yde_Ov8oY1hLQ93h8BS98fc/s1600/news_img_438278_1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="327" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgijXHnIXoR-7iMPhsuHbRb9dNhn1fwz-a6ddKRn-DudHuTtJtXsZpn42Ezc5twAJZrMprBtYxFR0_F9ywRaCay8KgaTLGlhyphenhyphen6P6R3K91jjILvKBZV-QV82yde_Ov8oY1hLQ93h8BS98fc/s400/news_img_438278_1.jpg" uda="true" width="400" /></a></div><br />
แอพพลิเคชั่นมากหน้าหลายตา ต่างทยอยลงสนามสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต เพื่อเป็นตัวเลือกให้คอไอที ได้หยิบใช้รับไลฟ์สไตล์คูลๆ ของพวกเขา ขณะที่ผู้ประกอบการ แบรนด์สินค้า ธุรกิจสื่อ สำนักพิมพ์ ตลอดจนเอเยนซีโฆษณา ต่างก็ปรับตัวกันยกใหญ่ เพื่อใช้ช่องทางเดียวกันนี้ สร้างอนาคตที่เชื่อว่า “มีอนาคต” ให้กับธุรกิจ<br />
<br />
<br />
แต่จะมีสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จแบบจริงๆ จังๆ กับช่องทางนี้ เรียกว่า..ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ ที่สำคัญ “ทำเงิน” ได้ ไม่ใช่แค่ปรับตัว “เท่ๆ” เพื่อไม่ให้ตกกระแส เท่านั้น <br />
<br />
“แอพพลิเคชั่น หลายๆ ตัวในโลกตอนนี้ “ทำเงินไม่ได้” ทั้งๆ ที่มีคนเล่นเยอะมาก อย่าง Line มีผู้เล่นถึง 17 ล้านคนทั่วโลก แต่เราไม่เคยต้องจ่ายเงินกับ Line ขณะที่แอพพลิเคชั่นบางตัว คนเบื่อก็หายไป ทำเงินได้ชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งๆ ที่สำหรับธุรกิจการหารายได้จากสิ่งที่ทำสำคัญมาก”<br />
<br />
<br />
นี่คือเสียงของหนึ่งในผู้เล่นตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์ค "จิรัฐ บวรวัฒนะ" ประธานกรรมการบริษัท อิกไนท์ เอเชีย จำกัด (iGnite Asia) ผู้ประกาศตัวเป็น Social Network Agency & Interactive Content Provider เขาเลือกทำธุรกิจแบบ “บูรณาการ” ตั้งแต่ ทีวีคอมเมอร์เชียล จัดกิจกรรม ทำเว็บไซต์ นิตยสาร และปีนี้ก็ยังสนุกกับการขยายมาสู่ เกม และโมบายแอพพลิเคชั่นอย่างต่อเนื่อง 2 ปี ของการอยู่ในสนามนี้ ฉายภาพความจริงให้เห็น<br />
<br />
“การจะพัฒนาอะไรออกมา เราต้องคิดตั้งแต่เริ่มว่ารายได้จะมาจากไหน บางคนอาจไปจมอยู่กับความคิดแค่ว่า ทำอย่างไรให้คนเข้ามาเล่นเยอะๆ ใช้เยอะๆ เพราะจะได้มีโฆษณาเข้ามา สำหรับเรานี่เป็นการคิดแบบชั้นเดียว”<br />
<br />
คิดสั้น คิดชั้นเดียว ไม่ใช่ทางของพวกเขา... “อิกไนท์ เอเชีย” เลือกคิดหลายชั้น ตั้งแต่ต้นทางก่อนพัฒนาแอพสู่ตลาด โดยแอพพลิเคชั่นที่ออกมาต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ ทำในสิ่งที่คนสนใจ และสำคัญคือ “ยังไม่มีอะไรในตลาดไปตอบสนองเขาได้” จากนั้นก็ "หาพันธมิตร" มาร่วมด้วยช่วยกันลงขัน<br />
<br />
เขายกตัวอย่างแอพพลิเคชั่นล่าสุด ที่เตรียมเปิดตัวปลายเดือนนี้ อย่าง “Trading Tycoon” แจ้งเกิด...เซียนพันล้าน แอพพลิเคชั่นที่จะทำให้ทุกคนได้สนุกกับการเล่นหุ้นโดยที่ไม่ต้องใช้เงินจริง โดยมีผู้สนับสนุนคือ หลักทรัพย์กสิกรไทย<br />
<br />
พวกเขาไม่ได้กำลังเจาะตลาดกลุ่มคนเล่นหุ้น แต่กำลังจุดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาเรียนรู้โลกของตลาดหุ้นกันมากขึ้น ด้วยรูปแบบการเล่นที่เหมือนเกม...เล่นง่าย เข้าใจง่าย ได้ความสนุกและเรียนรู้ไปกับมัน<br />
<br />
ตอบโจทย์แอพน่าเล่นได้ ที่สำคัญ มีคนลงเงินให้ด้วย<br />
<br />
“นี่เป็นหนึ่งในวิธีคิด แทนที่เราจะต้องไปหาเงินจากลูกค้าที่ใช้แอพตัวนี้ ผมก็ไปหาคนที่มีความคิดเหมือนกันมาร่วมกันทำ พอมีผู้สนับสนุนแทนที่แอพอย่างนี้ในเมืองนอกผู้เล่นต้องเสียเงินซื้อ อย่างต่ำๆ ก็ 5-10 เหรียญ แต่เราก็สามารถให้คนมาเล่นฟรีๆ เลย ซึ่งอนาคตยังพัฒนาเป็นกิจกรรมสร้างรายได้เข้ามาได้อีก มีหลายๆ ตัวที่เราใช้วิธีคิดแบบเดียวกันนี้”<br />
<a name='more'></a><br />
แอพพลิเคชั่นชิ้นโบแดง ที่ถูกพูดถึงมากในช่วงที่ผ่านมา ต้องยกใช้ “Eatarie” แอพพลิเคชั่นของคนชอบทาน ที่เปิดมาเพียง 4-5 เดือน แต่มียอดดาวน์โหลดสูงถึง 15,000 ดาวน์โหลด<br />
<br />
“Eatarie” เป็นการตอบโจทย์ทั้งคนชอบกินและธุรกิจร้านอาหาร โดยที่สามารถเข้าไปแนะนำร้านที่ชอบได้ ซึ่งไม่จำกัดว่าจะร้านข้างทางหรือภัตตาคารหรูที่ไหน ใครโปรโมทก็จะได้แต้ม สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดในร้านอาหารที่ร่วมรายการ หรือไปแลกสิทธิประโยชน์จากแคมเปญต่างๆ รวมถึงใช้เป็นแต้มสำหรับเล่นหุ้นใน Trading Tycoon ได้อีกด้วย<br />
<br />
“คนเข้ามาใช้เขารู้สึกได้ประโยชน์ และสนุกเหมือนการเล่นเกม รวมถึงยังใช้งานง่ายมาก คนป้อนข้อมูลคือผู้ใช้ ร่วมกันแชร์เนื้อหา เพราะคนยุคนี้ ชอบแบ่งปันเรื่องราวกันอยู่แล้ว”<br />
<br />
Eatarie ไปได้สวย โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่เขาบอกว่ามีผู้เข้ามาแนะนำร้านอาหารต่อวัน นับร้อยๆ ร้าน แต่นั่นไม่ใช่จะมัวใจชื้นชื่นชมขนมหวาน เพราะแอพพลิเคชั่นที่ดีต้องพัฒนาต่อไป หยุดนิ่งก็คือ...ตาย<br />
<br />
“แอพพลิเคชั่น วงจรชีวิตมันสั้นมาก มองว่าแอพพลิเคชั่นที่ดีต้องถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผ่านไป 3-4 เดือน ต้องพัฒนาเพิ่มเติมแล้ว อย่างมีฟีเจอร์ใหม่ หรือสร้างอะไรใหม่ๆ สังเกตจากเกมที่เราเล่น สักพักก็เบื่อ ต่อให้เป็น WhatsApp หรือ Line ก็เถอะ อย่างอื่นมาคนก็ไปเล่นของใหม่หมด โลกอินเทอร์เน็ตรวดเร็วมาก ไม่เหมือนซอฟต์แวร์สมัยก่อนที่พัฒนาขึ้นมาก็อยู่ได้เป็นปีๆ นี่เขาว่ากันเป็นเดือนเลยนะ ถ้ายังไม่มีอะไรใหม่ ก็ไปเล่นที่อื่นแล้วนะ”<br />
<br />
เริ่มต้นจากเงินผู้สนับสนุน แต่รายได้ของแอพพลิเคชั่นยังมาจากช่องทางอื่นได้ เขาบอกว่า งานนี้ไม่มีสูตรสำเร็จอยู่ที่ใครจะคิดได้ โดยทั่วไปมีตั้งแต่การขายแอพพลิเคชั่น คือ จ่ายเงินซื้อถึงเล่นได้ ซึ่งปัจจุบันทำได้ยากขึ้นเนื่องจากมีแอพฟรีให้เล่นอยู่เยอะมาก<br />
<br />
แบบที่สองคือ In app purchase คือโหลดแอพมาฟรี แต่เมื่อต้องการเพิ่มฟังก์ชัน ได้พลังพิเศษ ผ่านด่านใหม่ๆ ก็ต้องจ่ายเงินซื้อ หรือจะใช้วิธี In app advertising หาสปอนเซอร์ แบรนด์สินค้าไป Tie-in อยู่ในแอพนั้น กระทั่งวิธีขายฐานข้อมูลผู้ใช้แอพ<br />
<br />
“มันสามารถทำได้หลายๆ วิธี แต่เรา “บูรณาการ” ใช้หลายๆ วิธี ยกเว้นขายฐานข้อมูลผู้ใช้ แต่จะเลือกหาสิทธิประโยชน์พิเศษให้สมาชิก เช่น ทำกิจกรรมร่วมกับเจ้าของสินค้า เพื่อหาส่วนลด หรือสิทธิประโยชน์มาให้สมาชิกของเรา โดยตอนนี้มีสมาชิกอยู่ 8 หมื่นราย ก็ต้องดูว่าแต่ละกลุ่มต้องการอะไร แล้วก็มอบแพ็คเกจที่เหมาะสมให้กับเขา”<br />
<br />
ขณะที่ผู้ประกอบการทั่วไป ที่ไม่ใช่นักพัฒนาแอพพลิเคชั่น ก็สามารถเข้ามาใช้ช่องทางเดียวกัน สร้างประโยชน์ให้กับกิจการของตัวเองได้ จิรัฏ บอกเราว่า เป็นได้ตั้งแต่เครื่องมือในการลดต้นทุน และเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้า<br />
<br />
“ยกตัวอย่างร้านอาหารสมัยใหม่คุณไม่สามารถ มีเมนูเดียวได้ ต้องมีเมนูใหม่ๆ มาเรื่อยๆ คุณก็ไม่จำเป็นต้องพริ้นต์เมนูใหม่ตลอดเลย แต่อาจมี E-Menu ที่ลูกค้าสามารถเรียกดู แล้วสั่งล่วงหน้าได้ ไปถึงก็ทานได้ทันทีไม่ต้องรอ นี่เป็นแอพพลิเคชั่นที่คิดว่าได้ประโยชน์ กับเจ้าของธุรกิจและลูกค้า”<br />
<br />
ต่อมาคือช่วยในการหาลูกค้าใหม่แบบประหยัด จากปัจจุบันที่มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนและแทบเล็ตอยู่หลายล้านคนซึ่งต่างก็มีกำลังซื้อ มีช่องทางเข้าถึงชัดเจน โจทย์ข้อเดียวที่ธุรกิจต้องตอบให้ได้ คือ “จะหาความพึงพอใจไปให้เขาได้อย่างไร”<br />
<br />
“กลุ่มผู้ใช้มีมหาศาล กลายเป็นสิ่งที่เขาขาดไม่ได้ และจะขาดไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตของผู้คนจะผูกพันกับสิ่งนี้ในทุกๆ เรื่องราว ไม่ว่าจะเป็น สุขภาพ อาหารการกิน ชีวิต ความรัก ครอบครัว การเรียน การงาน ทุกอย่าง อยู่ที่ว่าคุณจะมองเห็นและใช้โอกาสจากมันอย่างไรเท่านั้น”<br />
<br />
“อิกไนท์ เอเชีย” เข้าตลาดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา กับเงินทุนที่ทุ่มชนิดเกือบ 100 ล้านบาท แต่ใช้เวลาคืนทุนเพียง 2 ปี โดยอาศัยมีพันธมิตรไม่เดินเดี่ยว เดินเกมอย่างมีกลยุทธ์ ทุกจุดธุรกิจต้องเชื่อมถึงกันได้ คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว ตัวไหนไม่มั่นใจก็ยอมตัดทิ้งเช่นเคยมีความคิดเปิดค่ายดนตรีก็ปิดไปเพราะไม่ใช่ความถนัด ขยับจากธุรกิจเล็กๆ มามีบริษัทลูก 3 บริษัท ฐานสมาชิกจาก 2 หมื่นรายในวันเริ่มต้น เพิ่มเป็น 8 หมื่นรายในวันนี้ โดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะขยายฐานสมาชิกได้สูงถึง 2 แสนราย ซึ่งเขามั่นใจว่าทำได้จากเครื่องมือที่ทยอยออกมาในปีนี้<br />
<br />
"ผมยอมรับว่า ผมสนใจนิวมีเดียมากๆ คำว่ามีเดีย มันขยายขอบเขตความหมายไปมากมาย สามารถไปปรากฏที่ไหนก็ได้ ช่วงหลังเวลาคนถามผมว่าทำอะไร ผมไม่ได้บอกว่า ทำหนังสือ แต่ผมเป็น Content Provider เป็นผู้สร้างสรรค์คอนเทนท์ ซึ่ง จะออกมาเป็นได้ทั้งสิ่งพิมพ์ นิตยสาร พอคเก็ตบุ๊ค รายการโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งเป็นแอพพลิเคชั่น" <br />
<br />
นี่คือ คำสัมภาษณ์ของ “โหน่ง-วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์” เจ้าพ่อเด็กแนวแห่ง a day หลังเปิดตัว อี-แมกกาซีน เล่มแรก “มันเดย์ (MONDAY)” เพื่อต่อยอดฐานนักอ่านไอที ที่สามารถดาวน์โหลดนิตยสารของพวกเขา ผ่านทาง เอไอเอสบุ๊คสโตร์, บีทูเอสอีบุ๊คสโตร์ และเว็บไซต์ www.ookbee.com <br />
<br />
เขาเชื่อในไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนไป เมื่อเครื่องมือราคาถูกลง หาซื้อง่ายขึ้น เป็นเทรนด์ไปแล้วที่ทุกคนต้องมีไอโฟน มีแอนดรอยด์ เขาเชื่อว่า หนังสือดิจิทัล จะมาแน่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาหนังสือในเครืออะบุ๊ค ก็ถูกทำเป็นอี-บุ๊คมาจำนวนหนึ่งแล้ว เพื่อกลายร่างกระดาษให้เป็นหนังสือที่อ่านได้ในสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต<br />
<br />
ไม่ใช่แค่สำนักพิมพ์ที่เชื่อในพลังช่องทางนี้ แม้แต่ธุรกิจร้านหนังสือก็ปรับตัวสู่วิถีเดียวกันอย่างครึกครื้น และเริ่มเห็นสัญญาณว่า ไม่ใช่แค่ฝันแต่ “ทำเงินได้จริง” <br />
<br />
“เราเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ สังเกตได้จากการที่ลูกค้าเริ่มเข้ามาใช้บุ๊คสโตร์มากขึ้น และเห็นชัดว่าเขากล้าที่จะซื้อขึ้นโดยดูจากมูลค่าบิลที่สูงขึ้น จากช่วงแรกเคยซื้อเล่มถูกๆ เดี๋ยวนี้เพิ่มเป็นหลักพันบาทแล้ว...นี่ไม่ใช่การทดลองใช้ แต่เป็นการใช้งานจริงแล้ว"<br />
<br />
“สิโรตม์ จิระประยูร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซียบุ๊คส จำกัด (Asia Books) รายแรกๆ ที่กระโดดเข้าสู่ตลาดอี-บุ๊คสโตร์ เมื่อปีที่ผ่านมา และเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของผู้ใช้ ตอกย้ำความน่าสนใจของช่องทางนี้<br />
<br />
โดยพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าคอดาวน์โหลด ส่วนใหญ่ยังเป็นพวก นวนิยาย และ หนังสือขายดี สอดคล้องกับความนิยมในร้านหนังสือ สำหรับรูปแบบการจ่ายเงิน จากการเปิดให้ชำระเงินได้ถึง 5 ช่องทาง คือ เครดิตการ์ด ระบบเพย์พาล จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส โอนเงินผ่านธนาคาร หรือเดินมาจ่ายที่ร้านเอเซียบุ๊คส<br />
<br />
เขาบอกว่า ช่องทางที่ถูกใช้มากสุด ยังขึ้นกับประเภทหนังสือ คือ ถ้าเป็นหนังสือของเด็กวัยรุ่น ซึ่งยังไม่มีบัตรเครดิต ช่องทางเพย์พาล และ เคาน์เตอร์เซอร์วิสจะสูง แต่ถ้าเป็นหนังสือธุรกิจ ของคนทำงานและผู้บริหาร ช่องทางบัตรเครดิตยังถูกใช้สูงสุด โดยผู้ใช้อี-บุ๊ค ยังหลากหลายคละกันไปทั้งคนทำงาน นักศึกษา<br />
<br />
การสร้างมูลค่าเพิ่มจากช่องทางอี-บุ๊คสโตร์ ให้ทำเงินได้ เขาบอกว่าต้องเชื่อมกันให้ได้ทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ อย่างเมื่อซื้อหนังสือผ่านอี-บุ๊คสโตร์ ก็รับโปรโมชั่นใช้เป็นส่วนลดในร้านหนังสือได้ เช่นเดียวกับซื้อหนังสือจากร้านก็มีโปรโมชั่นให้ไปใช้ที่อี-บุ๊คสโตร์ได้เช่นกัน แม้แต่ในร้านหนังสือก็มีมุมอี-บุ๊ค เพื่อให้ลูกค้าได้มารู้จักโลกอี-บุ๊คสโตร์ และทดลองใช้ได้ ส่วนเว็บไซต์ก็ไม่ได้มีขายเพียงหนังสือ แต่ยังรวมถึงสารพัด Gadget และบรรดาแท็บเล็ตค่ายต่างๆ เรียกว่าอยากได้ก็สามารถซื้อ พร้อมแถมอี-บุ๊ค ให้ลองใช้ด้วย<br />
<br />
ทุกวันนี้พวกเขามีฐานสมาชิก เอเซียบุ๊คส อยู่ที่ 1.8 แสนคน มีสาขา 70 สาขา มีลูกค้าเข้าร้านปีละนับล้านคน ขณะที่ลูกค้า อี-บุ๊ค ยังอยู่ที่ประมาณหลักพันคน เพราะยังเริ่มมาได้เพียงไม่ถึง 1 ปี ส่วนลูกค้าที่เข้าใช้เว็บไซต์ เฉลี่ยเดือนละ 5-6 หมื่นคน รายได้จากอี-บุ๊ค ปัจจุบันยังอยู่ที่ประมาณ 1% ของยอดขายรวม<br />
<br />
โดยธุรกิจ เอเซียบุ๊คส ปีที่ผ่านมามียอดขายอยู่ที่ 950 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าใน 3 ปี หลังจากนี้ยอดขาย อี-บุ๊ค จะเพิ่มเป็น 10% ของยอดขายรวมทั้งธุรกิจ ด้วยการเพิ่มความหลากหลายของหนังสือ การโปรโมทให้ความรู้ลูกค้า และจับมือกับพาร์ทเนอร์ โดยยังมองความร่วมมือของพันธมิตรทั้งร้านหนังสือและสำนักพิมพ์ ที่จะมาร่วมกันพัฒนาอี-บุ๊คสโตร์ ในรูปแบบเดียวกัน เพื่อปลุกตลาดนี้ ให้เติบโตยิ่งขึ้น<br />
<br />
ในมุมของนักพัฒนาแอพพลิเคชั่น "จิรัฐ บวรวัฒนะ" ยังแสดงความเห็นว่า การจะพัฒนา อี-บุ๊ค ต้องไม่มองเป็นแค่หนังสือ แต่คือ “สื่อผสม” ที่สามารถสร้างความน่าสนใจให้คนอ่านได้มากกว่าตัวหนังสือ เช่น ในอนาคต อาจสามารถคลิกเข้าไปชมวีดิโอได้ คลิกดูตัวอย่างสินค้าได้ พัฒนาในเชิงลึกมากขึ้น ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและอยู่ได้ระยะยาวขึ้น<br />
<br />
กับหลากวิธีคิดของการทำเงินอย่าง “สมาร์ท” บน “สมาร์ทโฟน”<br />
<br />
----------------------------------------------------<br />
<br />
“Online Influencer” บนโลกออนไลน์<br />
<br />
ถามคนยุคนี้ว่าจะตัดสินใจซื้อของสักชิ้น พวกเขาต้องทำอย่างไรบ้าง ที่น่าสนใจคือคนถึง 45% บอกว่า จะเข้าไปค้นหาข้อมูลสินค้าในอินเทอร์เน็ต น่าสนใจกว่านั้นคือเมื่อคิดจะซื้อกลุ่มตัวอย่างถึง 56% บอกว่า เลือกที่จะเชื่อกูรู เว็บบอร์ด และบล็อกเกอร์ ! <br />
<br />
นี่คือพลังของ “Online Influencer” นักชูประเด็นในโลกออนไลน์ ที่กำลังเขย่าเก้าอี้ผู้ทรงอิทธิพลในสื่อดั้งเดิมให้สั่นคลอน เครื่องมือใหม่ทางการตลาดที่จะมองข้ามไม่ได้ ตามผลการศึกษาของนักศึกษาปริญญาโทสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ในหัวข้อ “Online Influencer” สื่อใหม่การตลาด..กลเม็ดพิชิตใจลูกค้าคน Gen Y <br />
<br />
Online Influencer ถูกให้ความสำคัญมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หลังสื่อดั้งเดิมถูกมองว่าราคาแพง มีพื้นที่จำกัด และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตัวจริงได้น้อยลง ขณะที่ผู้เล่นสังคมออนไลน์กลับเติบโตต่อเนื่อง<br />
<br />
โดยจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยวันนี้มีสูงถึง 25 ล้านคน โซเชียลเน็ตเวิร์คยอดฮิตอย่าง เฟซบุ๊ค มีจำนวนสมาชิกในปีที่ผ่านมา ถึง 13 ล้านคน สูงเป็นอันดับ 16 ของโลก ส่วนทวิตเตอร์มีสมาชิกถึง 9 แสนคน ! และในกลุ่มคนเหล่านี้ก็ทวีความเชื่อมั่นใน Online Influencer มากขึ้นเรื่อยๆ จากการถ่ายทอดประสบการณ์ตรงในการใช้สินค้าหรือบริการ มีการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้า ได้อย่างชัดเจนทุกแง่มุม น่าเชื่อถือกว่าข้อมูลด้านเดียวจากเจ้าของแบรนด์สินค้า<br />
<br />
ที่เรียกได้ว่าสุดฮ็อต โดยเฉพาะใน 5 กลุ่มสินค้ายอดนิยม ต้องยกให้เขาเหล่านี้ เริ่มจากสินค้าไอที ชื่อของ “แบไต๋ ไฮเทค” หรือ หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทโชว์ไร้ขีดจำกัด ถูกนึกถึงเป็นลำดับต้นๆ ด้วยช่องทางทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ โดยในยูทูบมีจำนวนการดูสูงถึงกว่า 4 ล้านครั้ง<br />
<br />
ขณะที่ “กาฝาก” ผู้ไม่ได้จบทางด้านเทคโนโลยีแต่สนใจเรื่องไอทีอย่างมาก รีวิวสินค้าไอทีทุกประเภท ช่องทางติดต่อกับ มีทั้ง เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์ ซึ่งมีคนเข้าดูเว็บถึงกว่า 1.5 ล้านครั้ง<br />
<br />
ด้าน โรงแรม รีสอร์ท ที่พัก ต้องยกให้ “ชานไม้ชายเขา” ที่โด่งดังมาจากห้องบลูแพลเน็ตของพันทิป เขามีเว็บบล็อกเป็นของตัวเอง พร้อมช่องทางเข้าถึง ทั้ง ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค และพันทิป โดยเว็บไซต์ มีจำนวนคนเข้าดูกว่า 2 แสนครั้ง<br />
<br />
ส่วนสินค้าเครื่องสำอางที่ติดใจใครหลายคนคือ “โมเมพาเพลิน” การลุกขึ้นมาของ “โมเม” นภัสสร บุรณศิริ อดีตนักร้อง นักเต้น ดารา นักแสดง มาเป็น Online Influencer ด้านเครื่องสำอาง ชื่อดัง เริ่มต้นจากทำคลิปในทีวีออนไลน์ จนโด่งดัง และมีช่องทางติดต่อ ทั้ง เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ เว็บไซต์ โดยยูทูบมีคนติดตามมากถึงกว่า 1.7 ล้านคน และ “ปูเป้” “ศักรัช เปี่ยมวรนันท์” บิวตี้บล็อกเกอร์ จาก www.pupesosweet.com <http: www.pupesosweet.com="">ที่พบเจอเขาได้ทั้ง เฟชบุ้ค ยูทูป ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์ ซึ่งมีจำนวนการดูเว็บกว่า 2 ล้านครั้ง<br />
<br />
กลุ่ม ร้านอาหาร ต้องยกให้ “เมเม่พาชิม” ที่พาไปชิมอาหารร้านต่างๆ ทั่วประเทศ และทุกประเภท มีช่องทางทั้ง เฟซบุ๊ค ยูทูบ และเว็บไซต์ กับจำนวนการเข้าดูผ่านเว็บมากถึงกว่า 1.7 หมื่นครั้ง กับ “ป้อมูนู” ที่เริ่มจากทีวีออนไลน์ ซึ่งช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากสุด คือ ยูทูบ ที่มีคนเข้าชมถึงกว่า 5 แสนครั้ง<br />
<br />
ขณะที่รถยนต์ ก็ต้องยกให้ “จิมมี่” จากเว็บพันทิป ที่มีเฟซบุ๊ค และเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งมีการเข้าดูกว่า 2 หมื่นครั้งต่อวัน ขณะ “กล้วย-ตอย” ที่ยูทูบของพวกเขามีคนเข้าชมถึงกว่า 4 แสนครั้ง<br />
<br />
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของ Online Influencer ที่ได้รับการติดตามจากเหล่าแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น แต่การจะเลือก Online Influencer เกรด A ต้องมีคุณสมบัติ 5 ด้าน สำคัญคือเป็นนักกิจกรรม มีความสามารถโดดเด่นโลดแล่นอยู่ในแวดวงที่ลูกค้าเราอยู่ ต้องมีเครือข่ายที่กว้างขวาง ต้องสามารถสร้างผลกระทบกับคนหมู่มากได้ ต้องมีจิตใจที่ไขว่คว้าหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ สุดท้ายคือเป็นผู้นำสมัย กล้าลอง กล้าใช้อะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ<br />
<br />
การใช้ Online Influencer มีทั้งแบบจ่ายเงินและฟรี อย่างอาจใช้วิธีส่งบัตรเชิญให้ไปชิมที่ร้าน ส่งสินค้าให้ทดลองใช้ ส่วนแบบจ่าย ก็อย่างการเชิญร่วมกิจกรรมของแบรนด์ รวมถึงการฝากข่าวประชาสัมพันธ์บนหน้าเว็บไซต์ หรือ สื่อโซเชียลมีเดีย ของ Online Influencer<br />
<br />
นี่เป็นอีกหนึ่งสีสันใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ ถ้าเพียงตามให้ทัน ปรับตัวให้ได้ ก็มีโอกาสรุ่งทั้งเจ้าของสินค้าและ Online Influencer<br />
<br />
<br />
<br />
บทความจาก กรุงเทพธุรกิจ 27 กพ. 2555 <br />
<a href="http://bit.ly/xfP2lg">http://bit.ly/xfP2lg</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-84019473164041403062012-02-26T07:56:00.000+07:002012-02-26T07:56:40.660+07:004 ข้อต้องคิดเพื่อปรับเว็บทำเงินบนโลกไอที (78) : 4 ข้อต้องคิดเพื่อปรับเว็บ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoo0EUXsZwP186wTmDdIdHAje3DnBO5yiyMjYvoUhYMCvwvTXxuZkTDw-Hwbr26q6GZQrDzuCe-pKRLEoUE34Sfw6Sqxuvpu6fsby7OZdpU-X2a_6ckPNcvQyZzj6ZzlC8zV9cYI0do30/s1600/www.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" lda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjoo0EUXsZwP186wTmDdIdHAje3DnBO5yiyMjYvoUhYMCvwvTXxuZkTDw-Hwbr26q6GZQrDzuCe-pKRLEoUE34Sfw6Sqxuvpu6fsby7OZdpU-X2a_6ckPNcvQyZzj6ZzlC8zV9cYI0do30/s400/www.jpg" width="400" /></a></div> ใครคนหนึ่งเคยบอกไว้ ว่าขณะที่คนอื่นก้าวไปข้างหน้า คนที่หยุดอยู่กับที่นั้นถือว่าเดินถอยหลังอยู่ โลกของเว็บไซต์ก็เช่นกัน เรากล้าฟันธงว่าเว็บไซต์ใดที่ไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ในขณะที่เว็บไซต์อื่นๆพากันพัฒนารุดหน้าถึงไหนต่อไหน เท่ากับเว็บไซต์กำลังถอยหลังลงคลองเช่นกัน<br />
<br />
<br />
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จัก 4 ข้อหลักที่องค์กรต้องใส่ใจหากคิดจะปรับปรุงเว็บไซต์ ซึ่งทั้ง 4 ข้อถือเป็นคัมภีร์ที่พาหลายองค์กรเดินแซงหน้าคู่แข่งมาแล้วนักต่อนัก<br />
<br />
***ความสำคัญของการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ Website Redesign เพื่อเพิ่มยอดขาย<br />
<br />
เรื่องของการปรับปรุงเว็บไซต์นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่และค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่างมาก ในการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ที่เปิดใช้งานมาระยะหนึ่งหรือไม่ว่าจะนานเท่าใดก็ตาม การเปลี่ยนแปลงหน้าตาการใช้งานมีผลกระทบหลายทางทั้งต่อเจ้าของเว็บไซต์และต่อผู้ใช้เอง หากเปรียบเว็บไซต์เสมือนต้นไม้ และ การปรับเปลี่ยนหน้าตาเว็บไซต์ใหม่เสมือนการตัดแต่งกิ่ง ซึ่งหลังจากตัดแต่งเรียบร้อยแล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เหมือนเดิมนั่นคือ ต้นไม้อาจจะไม่ออกผลให้อีกเลยหรือ หรือออกผลน้อยลง หรือ อาจจะออกผลจำนวนมากมาย มีความเป็นได้ทั้งสิ้น เรามาดูว่าการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ใหม่เพื่อให้ผลผลิตที่คุ้มค่าต้องทำอย่างไรบ้าง<br />
<br />
เจ้าของกิจการที่มีเว็บไซต์อยู่แล้ว และต้องการปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่นั้น ส่วนมากมักมีเหตุผลในการปรับปรุงหน้าตา ภาพลักษณ์ของเว็บไซต์เป็นสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าการปรับหน้าตาเว็บไซต์นั้นเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นทางหนึ่งแต่เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ความสำคัญแรกที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องใส่ใจ นั่นเพราะว่าการออกแบบเว็บไซต์หรือการปรับปรุงก็ตามจำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนก่อนเป็นอันดับแรก<br />
<br />
<u>บริษัทชั้นนำในต่างประเทศที่สามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์จำนวนมาก ไม่ได้สร้างความสำเร็จจากหน้าเว็บไซต์ที่สวยงามถูกใจเพียงอย่างเดียว</u> แต่เพราะ<u>การปรับแต่งเว็บไซต์ให้การใช้งานเอื้ออำนวยความต้องการของพฤติกรรมผู้ใช้เป็นหลัก และออกแบบหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายที่สุด ใช้งานได้ตามความต้องการ</u><br />
<a name='more'></a><br />
เช่นในเว็บไซต์ขายสินค้า วัตถุประสงค์หลักของการทำเว็บไซต์รูปแบบนี้คือ<u>ทำให้ขั้นตอนการซื้อสั้นที่สุดตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากล เมื่อขั้นตอนสั้นกระชับ การซื้อขายจึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เว็บไซต์ที่ขั้นตอนมียืดเยื้อ ในทางการตลาดดิจิตอลมักเรียกว่าการปรับปรุงเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือ Conversion Improvement</u><br />
<br />
บริษัทที่ใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยในการขายส่วนใหญ่มักจะมีการวัดผล Conversion Rates เพื่อการขายเป็นหลัก (Conversion to sale) ซึ่งมักเห็นในเว็บ Ecommerce บางส่วนที่อาจจะต้องการแค่การตอบรับ Conversion to Response อาจจะเห็นในเว็บไซต์ขายสินค้าเช่นกันแต่เป็นสินค้าที่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อ โดยส่วนมากต้องการข้อมูลช่องทางการติดต่อเพื่อเสนอข้อมูลเพิ่มเติมต่อยอดการขายในขั้นต่อไป<br />
<br />
สิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องคิดในการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อการขาย คือ<br />
<br />
<strong>1. Tracking หาจุดที่ทำให้สูญเสียลูกค้า</strong><br />
ในเว็บไซต์หลายเว็บไซต์สามารถหาคนเข้ามายังเว็บไซต์ได้จำนวนมาก แต่ไม่สามารถปิดการขายได้ ซึ่งเราจะไม่รู้เหตุผลเลยถ้าเราไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในการจับค่า การใช้งานเว็บไซต์ ว่าผู้เยี่ยมชมทำอะไรบ้างและทำใมถึงออกจากเว็บไซต์โดยที่ไม่สามารถไปถึงขั้นตอนการซื้อได้ ในส่วนนี้เราเจ้าของเว็บไซต์ควรศึกษาเครื่องมือที่เป็นที่นิยมอย่าง Google Analytics มาช่วยหาเหตุผลเพื่อวิเคราะห์จุดบกพร่อง ท้ายที่สุดแล้วเราอาจจะพบว่า คนส่วนมากไม่ไป Step ที่ 4 ของการซื้อเพราะ หาปุ่มยืนยันการสั่งซื้อไม่เจอก็เป็นได้<br />
<br />
<strong>2. สำรวจภาพรวม ลดส่วนเกิน เน้นสิ่งที่ควรเน้น ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ควรสำคัญ</strong><br />
เมื่อเราทราบแล้วว่าจุดบกพร่องเกิดจากอะไร ขั้นตอนถัดไปคือลดส่วนที่ไม่จำเป็นทิ้ง หรือส่วนเกินที่ไม่ได้มีความจำเป็นในหน้าตาดีไซน์ออกและเน้นสิ่งที่ควรเน้นแทน เช่น วิธีการใช้งาน ปุ่มการสั่งซื้อ Action ต่างที่เห็นชัดและกดง่าย ข้อความอธิบายในส่วนนี้ควรสั้นกระชับและเข้าใจง่าย ซึ่งในหลายเว็บไซต์มักใช้ภาษาไม่เหมาะสมและคำที่ทำให้เข้าใจผิดได้ต่างๆ นาๆ<br />
<br />
<strong>3. เปรียบเทียบคู่แข่ง สังเกตศัตรู</strong><br />
นอกจากเราหาจุดบกพร่องในเว็บไซต์ของเราแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือเราต้องศึกษาคู่แข่ง หรือเว็บไซต์ในกลุ่มเดียวกัน แต่จำเป็นต้องเลือกเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐานและมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก เพราะเว็บไซต์กลุ่มนี้จะมีการพัฒนาเรื่องของ Conversion Improvement มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งการเข้าไปศึกษาเราอาจจะได้ส่วนดีๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเราได้<br />
<br />
<strong>4. ทดสอบ สำรวจความคิดเห็น</strong><br />
เมื่อมีการปรับปรุงเว็บไซต์ แล้วขั้นตอนสำคัญคือการทดสอบให้ลูกค้าใช้งานจริง หรือกลุ่มทดลองเพื่อให้ได้รับ ความคิดเห็นจริงจากผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราจริงๆ ในรายละเอียดต่างๆ เช่น <br />
<br />
-ขั้นตอนการสั่งซื้อ <br />
-การเข้าถึงข้อมูลเพื่อติดต่อการสั่งซื้อ ยากรึเปล่า <br />
-หน้าตาเว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือพอที่จะตัดสินใจควักเงินออกจากกระเป๋าหรือไม่ <br />
-ข้อความอธิบายขั้นตอนในเว็บไซต์ สามารถอธิบายไดอย่างเข้าใจง่ายรึยัง <br />
<br />
นี่เป็นข้อมูลส่วนสำคัญที่จะเป็นข้อมูลในการปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้เว็บไซต์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น<br />
<br />
การพัฒนาเรื่อง Conversion Improvement หรือ Conversion Rate Improvement นั้นเป็นส่วนที่สำคัญมากในธุรกิจ Ecommerce เพราะนี่หมายถึงยอดขายที่จะเพิ่มขึ้น ถ้าใน 1 วันมีผู้ชมที่สนใจในสินค้าของคุณจำนวน 1000 คนเข้ามาในเว็บไซต์จากการค้นหาผ่าน Google คนกลุ่มนี้เป็น Prospect ที่มีโอกาสซื้อสินค้าสูง ถ้าใน 1000 คนต่อวันเว็บไซต์สามารถปิดการขายได้ 10 คน ซึ่งหมายถึง Conversion Rate ที่ 1% การปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อพัฒนา Conversion Improvement อาจช่วยให้ Conversion Rate เพิ่มขึ้นได้อีก<br />
<br />
ไม่แน่ว่าการลุกขึ้นมาปรับเว็บครั้งหน้าของคุณ อาจทำให้ Conversion Rate เพิ่มขึ้นเป็น 10% เม็ดเงินต่อวันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จแน่นอน<br />
<br />
<br />
บทความโดย : นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล<br />
<br />
<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="left" class="body" valign="middle"><span style="color: #003366;">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</span></td><td align="left" class="date" valign="middle">25 กุมภาพันธ์ 2555</td></tr>
</tbody></table><br />
<a href="http://bit.ly/ABimpN">http://bit.ly/ABimpN</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-19343222481799962742012-02-26T07:48:00.000+07:002012-02-26T07:48:07.963+07:0010 แนวโน้มพลิกโฉมโลกสื่อสาร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmSAmo1FsqKwYn6w2SbO0udgEUsS3_sQV-uKGbLjcR3WLBVsgKUPsCvIi_d1hB1gicij0bTCR75xpdPu2eoC5cmMHlrP8hWClCaMRJto2KZITgt8rWBYGvXDnBL7PDGZXvtRF7-geV_yw/s1600/555000001646202.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="177" lda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmSAmo1FsqKwYn6w2SbO0udgEUsS3_sQV-uKGbLjcR3WLBVsgKUPsCvIi_d1hB1gicij0bTCR75xpdPu2eoC5cmMHlrP8hWClCaMRJto2KZITgt8rWBYGvXDnBL7PDGZXvtRF7-geV_yw/s400/555000001646202.jpg" width="400" /></a></div><br />
กระแสความตื่นตัวใช้งาน 'สมาร์ทดีไวซ์' ของผู้คนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยได้จุดประเด็นการเข้าถึง 'คอนเทนต์' บนอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไร้สาย โดยเฉพาะเครือข่าย 3G บางคนมองข้ามช็อตเลยไปถึง 4G ซึ่งเวลานี้มีผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถืออย่างค่ายเอไอเอส เริ่มนำมาทดสอบการใช้งานในบ้านเราแล้วนั้น ทุกสิ่งอย่างล้วนโฟกัสมายังโลกการสื่อสาร โดยเฉพาะในปี 2555 นี้ มีการตั้งความหวังว่า โฉมหน้าของโลกสื่อสารจะออกมาเป็นอย่างไร<br />
<br />
<br />
หากย้อนกลับไปดูข้อมูลในปีที่ผ่านมา พบว่ามียอดผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งโลกมากกว่า 6,000 ล้านคน มีการส่งข้อความรวมกันมากกว่า 6 ล้านล้านครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าเยอะมาก แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ 'อีเมล' เพราะมีการส่งอีเมลบนมือถือมากกว่า 107 ล้านล้านฉบับ ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งไปกว่านั้น มีการดูวิดีโอบน 'ยูทูป' มากกว่า 7.3 แสนล้านครั้ง <strong>นักวิเคราะห์ประเมินอีกว่า ในอีก 8 ปีข้างหน้าจะมีสมาร์ทดีไวซ์ที่เชื่อมต่อโลกสื่อสาร ถึงหลักล้านล้าน เครื่อง</strong><br />
<br />
นั่นคือภาพรวมทั้งหมด แต่ถ้ามองกลับมาในไทยจะพบว่า มีอัตราการขยายตัวการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหรือบรอดแบนด์ประมาณ 22.8% ขณะที่สมาร์ทโฟนมีการเติบโต 55% โดยมีผู้เข้าชมยูทูปที่คนไทยอัปโหลด 10 อันดับแรกถึง 505 ล้านครั้ง และที่น่าสนใจ คือ คนไทยที่อยู่ในโลกออนไลน์ (อินเทอร์เน็ต) กว่า 75.9% ใช้งาน 'เฟซบุ๊ก' ซึ่งถือเป็นอันดับที่ 16 ของโลก<br />
<br />
แล้วในปีนี้โลกสื่อสารจะเป็นอย่างไร อะไรที่จะเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลที่จะเข้าเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งาน จากข้อมูลที่ 'โจนาห์ พรานสกี้' ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดฝ่ายกลยุทธ์และการตลาดแบบเจาะลึก บริษัท แอมด็อคส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำบริการด้านนวัตกรรมเกี่ยวกับจัดการประสบการณ์ลูกค้าในระบบสื่อสารที่คลุกคลีอยู่ในอุตสาหกรรมสื่อสารไร้สายมานาน 30 ปี วิเคราะห์ถึงเมกะเทรนด์ที่จะมีอิทธิพลต่อโลกสื่อสารในช่วงปีนี้ว่า มีด้วยกัน 10 เทรนด์<br />
<br />
เริ่มจาก<u>เทรนด์แรก</u>ที่มองเห็นก็คือ ความคาดหวังของผู้ใช้บริการจะถูกตอบรับผ่านสินค้าและบริการที่บริษัทผู้ผลิตและเจ้าของคอนเทนต์ในรูปแบบของประสบการณ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมา จะเห็นได้จากการใช้สินค้าของค่าย 'แอปเปิล' ไม่ว่าจะเป็นไอแพด ไอโฟน จะได้ประสบการณ์ใช้งานที่ง่ายผ่านผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้ชีวิตง่ายขึ้น ขณะที่ 'กูเกิล' ก็จะได้ประสบการณ์เข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย ถ้าเป็น 'เฟซบุ๊ก' จะได้ประสบการณ์ในเรื่องคอมมูนิตี้ ผ่านบุคคลที่เชื่อถือได้ และ 'อเมซอน' ก็จะทำให้เกิดประสบการณ์ซื้อหาของได้แทบทุกชนิดบนโลก<br />
<a name='more'></a><br />
<u>เทรนด์ที่สอง</u> คือ การแข่งขันของผู้ให้บริการที่คัดสรรสิ่งที่ผู้บริโภคสนใจ โดยเป็นความร่วมมือกับพันธมิตรแทนที่จะทำด้วยตนเองเพื่อขยายฐานลูกค้าไปในตัว โดยแบ่งสิ่งที่ผู้ใช้สนใจออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ คือ ผู้ให้บริการบนอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ผลิตคอนเทนต์และแอปพลิเคชัน สุดท้าย คือ ผู้ผลิตอุปกรณ์พกพาทั้งหลาย โดยรูปแบบของความร่วมมือจะมีความหลากหลาย อย่างกรณีของ 'สไกป์' ในฝั่งผู้ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตที่จับมือกับเฟซบุ๊ก ในกลุ่มเครือข่ายสังคมเพื่อให้บริการสื่อสาร หรือ 'Zynga' ที่เป็นผู้คิดค้นคอนเทนต์ก็ใช้เฟซบุ๊กในการสร้างรายได้ และ 'Netflix' ที่เข้าไปร่วมกับ 'โซนี' ในการให้บริการภาพยนตร์ออนไลน์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อดูดเงินในกระเป๋าของผู้บริโภค<br />
<br />
<u>เทรนด์ที่สาม</u> เครือข่ายสังคมออนไลน์กระตุ้นให้เกิดการติดต่อสื่อสาร จากสถิติของ 'คอมสกอร์' ระบุว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 82% ใช้งานโซเชียลมีเดีย โดยมีการบันทึกว่าภายใน 1 วินาทีมีการ 'ทวีต' ข้อความถึง 8,868 ครั้ง โดยมีสถิติที่น่าสนใจอีกคือ ผู้คนในโลกออนไลน์ที่มีอายุราว 15-24 ปี ใช้เวลาในโลกโซเชียลมีเดียมากขึ้น 34% ขณะที่ใช้อีเมลลดลง 22% และใช้งานสนทนาแบบทันทีทันใดลดลงกว่า 44%<br />
<br />
<br />
สิ่งที่จะเข้ามากระตุ้นผู้บริโภคหลักๆ หนีไม่พ้น การโพสต์ข้อความหรือสินค้าใดๆ ในเฟซบุ๊กและได้รับการยอมรับ (Like) จำนวนมาก ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็สามารถเข้าไปค้นหาคอนเทนต์ใหม่ๆ ผ่าน ยูทูปได้ตลอดเวลา มีช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านโลกออนไลน์มากขึ้น รวมถึงบริการหลังการขายต่างๆ ที่เชื่อมต่อเข้าสู่โลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก<br />
<br />
<u>เทรนด์ที่สี่</u> ผู้บริโภคเริ่มยอมรับอุปกรณ์พกพาที่เชื่อมโยงเข้าหากัน เห็นได้จากการเติบโตของแท็บเล็ตสูงถึง 256% จำนวนเครื่องเล่นเกมอย่าง Xbox 360 ที่ขายไปมากกว่า 57 ล้านเครื่อง และทีวีที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้กว่า 60 ล้านเครื่อง ทำให้เกิดระบบนิเวศน์ในการสื่อสารในวงกว้างขึ้น<br />
<br />
<u>เทรนด์ที่ห้า</u> ความต้องการเข้าถึงข้อมูลที่เพิ่มขึ้น เมื่อผู้บริโภคต่างมีอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังโลกออนไลน์ได้ ส่งผลให้อัตราการเข้าถึงข้อมูลก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยคาดว่า จากปี 2554 ไปถึงปี 2558 จะมีค่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของข้อมูลต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 102%<br />
<br />
<u>เทรนด์ที่หก</u> ความต้องการบรอดแบนด์จะเป็นแรงขับเคลื่อนขนาดใหญ่ โดยเทคโนโลยีสำคัญที่จะเข้ามาตอบสนองคงหนีไม่พ้น LTE หรือ 4G ที่มีกว่า 285 ประเทศทดลองใช้แล้ว ระบบไฟเบอร์ออปติกที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บนปัจจัยที่สำคัญ ก็คือ การสนับสนุนจากภาครัฐ <br />
<br />
<br />
<u>เทรนด์ที่เจ็ด</u> อุตสาหกรรมมองหาบริการที่กำลังเติบโต ปัจจุบันการให้บริการเครือข่ายไร้สายถือเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด แต่เชื่อว่า ในอนาคตการให้บริการเคเบิลและดาวเทียมจะมีอัตราการเติบโตด้านดาต้าที่สูงที่สุด เนื่องจากมีเหล่าผู้ผลิตคอนเทนต์ขนาดใหญ่พร้อมที่จะเข้าไปทำตลาดเมื่อระบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอยู่ในจุดที่เสถียร <br />
<br />
<u>เทรนด์ที่แปด</u> สงครามถัดไปจะอยู่ในโทรทัศน์ เมื่อตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่ถึงจุดอิ่มตัว ตลาดต่อไปที่มีศักยภาพคงหนีไม่พ้นโทรทัศน์ เนื่องจากผู้ให้บริการทั้งในส่วนของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ผู้สร้างคอนเทนต์ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคม ต่างสามารถเข้ามาให้บริการเหล่านี้บนโทรทัศน์ได้ทันที ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคว่าต้องการรับสารประเภทใด <br />
<br />
<br />
<u>เทรนด์ที่เก้า</u> ระบบชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งแอมด็อคส์เชื่อว่า ในปี 2558 จะเกิดทรานเซ็กชันผ่านโมบายเปย์เมนต์มากกว่า 349 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.49 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเทคโนโลยีสำคัญคงหนีไม่พ้น NFC ที่เชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการและระบบการจ่ายเงินที่ได้รับการยอมรับ <br />
<br />
<u>สุดท้าย</u>คือ ผู้ให้บริการเครือข่ายจะพยามสร้างจุดต่างสำหรับผู้บริโภค โดยแบ่งเป็นในแง่ของประสบการณ์ผู้บริโภคที่เน้นเจาะเข้าไปถึงพฤติกรรมการใช้งาน และในส่วนของเครือข่ายก็ต้องพัฒนาให้มีคุณภาพ พร้อมกับคิดค้นบริการใหม่ๆ ออกมาให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ <br />
<br />
<br />
'เออร์วานน์ โธมัสเซน' ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมด็อคส์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าวถึงมุมมองพฤติกรรมผู้บริโภคใน 10 ปีข้างหน้าหรือปี 2022 ว่า อุปกรณ์ทุกอย่างจะสามารถเชื่อมต่อเข้าหากันได้หมด จากเดิมที่ใช้การป้อนข้อมูลผ่านแป้นพิมพ์ (คีย์บอร์ด) แต่ในอนาคตจะเป็นการใช้ 'เซนเซอร์' และ 'มาตรวัด' แทน ขณะเดียวกันผู้คนก็จะมีอายุยืนมากขึ้นจากเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ที่ก้าวไปพร้อมกับโลกสื่อสาร<br />
<br />
เออร์วานน์ ยกตัวอย่างว่า อนาคตกำแพงภายในบ้านจะไม่ได้เป็นแค่กำแพงแต่จะเป็นจอภาพอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพื่อตรวจเช็กตารางนัดหมาย สภาพอากาศ ค้นหาสถานที่จากแผนที่ ระบุพิกัดบุคคลในครอบครัว ช่วยให้ติดต่อสื่อสารกันได้ตลอดเวลา<br />
<br />
ในส่วนของการทำงาน สามารถร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานได้เสมือนอยู่ในห้องทำงานเดียวกัน หรือแม้แต่เวลาประชุมก็สามารถใช้งานวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แบบเห็นตัวตน ช่วยให้สามารถประชุมกับบุคคลที่อยู่ในทุกมุมโลกได้ทันที<br />
<br />
จุดสุดท้ายที่น่าสนใจคือด้านการแพทย์ เมื่อการติดต่อสื่อสารก้าวหน้ามากขึ้นทำให้คนไข้ สามารถได้รับการรักษาจากหมอที่เก่งในแต่ละด้าน แม้ว่าจะอยู่คนละมุมโลกกัน เพราะข้อมูลคนไข้ ประวัติการรักษา ผลฟิลม์เอ็กซเรย์ ก็สามารถส่งข้อมูลผ่านออนไลน์ ไปให้ได้<br />
<br />
สิ่งเหล่านี้เป็นเทรนด์ทั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ และในอนาคตข้างหน้า เทคโนโลยีกำลังกำหนดไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมของผู้บริโภค อยู่ที่เราจะเลือกใช้และรับมือกับมันอย่างไรเพื่อให้ไม่ต้องตกเป็นทาสเทคโนโลยีเหล่านั้น โดยไม่จำเป็นและไม่ใช่เป็นการบริโภคโดยฟุ่มเฟือยเกินพอ <br />
<br />
<br />
<br />
<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="left" class="body" valign="middle"><span style="color: #003366;">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</span></td><td align="left" class="date" valign="middle">5 กุมภาพันธ์ 2555 00:19 น.</td></tr>
</tbody></table> <a href="http://bit.ly/AaRJGc">http://bit.ly/AaRJGc</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-16134310991864921772012-02-17T09:29:00.001+07:002012-02-17T09:30:39.631+07:0010 สินค้าสุดฮอตนักชอปไทยนิยมซื้อ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3IYY2fNXXW3Or93-qEo1hVT0EWghNz820PMT-yJODcf5Fxl_i5OyhLV4nPxB7sxyTt3EDH7oBwKYkxqle7s2wwWONssf1nKPip_EY4LGIej4uX3I0Qy8veHB6wLbeldUVyAx3tw8XPoU/s1600/shop.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3IYY2fNXXW3Or93-qEo1hVT0EWghNz820PMT-yJODcf5Fxl_i5OyhLV4nPxB7sxyTt3EDH7oBwKYkxqle7s2wwWONssf1nKPip_EY4LGIej4uX3I0Qy8veHB6wLbeldUVyAx3tw8XPoU/s1600/shop.jpg" yda="true" /></a></div><br />
กระแสการซื้อสินค้าออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะเห็นได้ชัดว่าแฟชั่นเสื้อผ้าผู้หญิงติดอันดับแรกสินค้าขายดีที่สุดบนออนไลน์จากการสำรวจและเผยพฤติกรรมนักชอปไทยจากสนุกดอทคอม<br />
<br />
สนุกดอทคอมจัดอันดับสินค้าขายดีที่สุดบนเว็บซื้อขายออนไลน์ Shopping.co.th ในปี 2554 <br />
<br />
อันดับ 1 ตกเป็นของสินค้ากลุ่มแฟชั่นคือ เสื้อคลุม แจ็กเกต ยีนส์แต่งลูกไม้ สไตล์อินเทรนด์เกาหลี<br />
<br />
ขณะที่อุปกรณ์ไอที ในช่วง 1-2 ปีนี้ ต้องยกให้สุดยอดนวัตกรรมใหม่ที่มาปฏิวัติวงการไอที ด้วยอุปกรณ์ไฮเทคอย่างแท็บเลต สร้างกระแสตื่นตัวให้กับตลาดชอปปิ้งออนไลน์ได้ไม่น้อย โดยจากการจัดอันดับสินค้าไฮเทคในกลุ่มแกดเจ็ต (Gadget) ของ Shopping.co.th แท็บเลตมียอดการซื้อขายเป็นอันดับ 1 ในปี 2554 ที่ผ่านมา <br />
<br />
รองลงมาได้แก่ กล้องดิจิตอล และโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน<br />
<br />
สำหรับแนวโน้มปี 2555 นี้ สนุก! มองว่า เกาหลีฟีเวอร์ยังแรงไม่หยุด อิทธิพลทั้งจากศิลปินดารานักร้องนักแสดงเกาหลีที่ทำให้แฟนคลับไทยชื่นชอบ และยังแพร่อิทธิพลต่อแวดวงแฟชั่นเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน โดยเทรนด์เกาหลีจะยังคงอยู่ในกระแสของนักชอปออนไลน์ในปี 2555 อย่างต่อเนื่อง <br />
<br />
สำหรับเทรนด์สีนั้น สีส้มมาแรงสุด และกำลังเป็นสีที่วงการแฟชั่นนิยมมากที่สุดในปี 2555 โดยโทนสีดำยังคงเป็นโทนสีมาแรง<br />
<br />
สนุก! มองข้อดีในการชอปปิ้งออนไลน์ คือ ลดเวลาการเดินทาง สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทยยุคใหม่ เพราะสะดวกและง่ายต่อการค้นหาสินค้า สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ในราคาสมเหตุสมผลจากร้านค้าออนไลน์มากมาย ด้วยโปรโมชั่นลดราคาพิเศษจากเจ้าของร้านค้าโดยตรงเพื่อกระตุ้นการซื้อขาย ถือเป็นปัจจัยหลักของการชอปปิ้งออนไลน์ สำหรับกลุ่มเป้าหมายนักชอปออนไลน์ของ Shopping.co.th ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนอายุ 24-40 ปี ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี้มีแนวโน้มการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง <br />
<br />
นอกจากนี้ สนุก! ยังพบว่าการขายดีลคูปองออนไลน์ โดยเป็นการจัดโปรโมชั่นให้ส่วนลดจากเจ้าของธุรกิจร้านค้า ร้านอาหาร สปา โรงแรมหรือกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ผ่านสื่อออนไลน์ ปรากฏว่าในปีที่ผ่านมานักชอปนิยมซื้อคูปองออนไลน์ของสนุก! คูปอง (http://coupon.sanook.com) เพิ่มมากขึ้น<br />
<br />
ด้านเอ็นโซโก้ บริษัทในเครือลีฟวิ่งโซเชียล มีการปรับโฉมเว็บไซต์ใหม่ (www.ensogo.com) ให้ทันสมัยและโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การชอปปิ้งที่สนุกสนานยิ่งกว่าที่เคย ด้วยการใช้งานที่เร็วขึ้นถึงสองเท่า ช่วยให้สมาชิกค้นพบดีลใหม่ๆ ได้ในทุกๆ วัน ด้วยฟีเจอร์การแบ่งดีลตามเขตและจังหวัด รวมถึงการแบ่งดีลตามหมวดหมู่ต่างๆ<br />
<br />
<br />
<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="left" class="body" valign="middle"><span style="color: #003366;">โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์</span></td><td align="left" class="date" valign="middle">16 กุมภาพันธ์ 2555</td></tr>
</tbody></table><a href="http://bit.ly/xHh82o">http://bit.ly/xHh82o</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-51970181831620918542012-02-17T09:22:00.001+07:002012-02-17T09:23:54.244+07:00Brand Modernization เซียงเพียวเปิดยุทธศาสตร์ Brand Modernization เซียงเพียว รับเออีซี สู่ผู้นำใน 3 ปี<br />
<br />
ต่อยอดความสำเร็จอาณาจักร “เบอร์แทรม เคมิคอล”ผู้ผลิตและจำหน่ายยาดม “เซียงเพียว" ยาหม่องน้ำ "เซียงเพียวอิ๊ว” และ ยาดม “เพพเพอร์มินท์ฟิลด์” จากยุคแรกสู่ยุคเจนเนเรชั่นที่ 2 ที่คมความคิด เปิดแผนยุทธศาสตร์เชิงรุกรอบทิศแบบBrand Modernization เน้นปรับภาพลักษณ์ใหม่ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปีของสินค้าให้ทันสมัย สดใหม่ เป็นที่ยอมรับให้กับคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องตอกย้ำความพร้อมสู่เวทีสากล รับเออีซี<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFiuV1hM0U56TPz-gCzklpx7oprCagV7JNazqAINk1l_TFIy4ETD4mDHPI4_ppI6lYicevyS-CjrlruIaVLbyiXcuxZjKdKZVm5c2o7yAXzDb7giGYds0BQOqLVG3QVf_EQMO3HUz6xNE/s1600/555000001945401.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="190" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFiuV1hM0U56TPz-gCzklpx7oprCagV7JNazqAINk1l_TFIy4ETD4mDHPI4_ppI6lYicevyS-CjrlruIaVLbyiXcuxZjKdKZVm5c2o7yAXzDb7giGYds0BQOqLVG3QVf_EQMO3HUz6xNE/s320/555000001945401.jpg" width="320" yda="true" /></a></div><br />
<u><strong>Brand Modernization ปรับภาพลักษณ์ </strong></u><br />
<br />
ภาพลักษณ์ยาดม กับกลุ่มวัยรุ่น อาจจะดูไม่เข้ากันมากนัก เมื่อเทียบกับกลุ่มคนแก่ หรือวัยชรา ซึ่งหลายต่อหลายแบรนด์ในสินค้ากลุ่มนี้ ต่างพยายามหาน่านน้ำใหม่ สร้างกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อยลง เพื่อลดข้อจำกัดของสินค้า และเป็นการกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น ยาดมเซียงเพียว เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ กับการพลิกเกมการตลาดใหม่ ที่หันมาโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น ซึ่งดูแล้วประสบความสำเร็จอย่างมาก<br />
<br />
การโฟกัสกลยุทธ์ที่เรียกว่า Brand Modernization เพื่อปรับภาพลักษณ์ของสินค้าให้ทันสมัย สดใหม่ เป็นที่ยอมรับให้กับคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใช้โฆษณาสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง การเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์วัยรุ่น และการสร้างสรรค์กิจกรรมมันส์ๆ เพื่อเรียกความสนใจจากกลุ่มวัยรุ่น คือกุญแจความสำเร็จของ “เบอร์แทรม เคมิคอล”<br />
<a name='more'></a>หลายแบรนด์ดังเป็นที่ชื่นชอบตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ รุ่นแม่ หรืออาจเลยไปไกลถึงรุ่นปู่ รุ่นย่า แต่สิ่งที่แบรนด์เหล่านี้ต้องคิดต่อ คือ ทำอย่างไรให้แบรนด์เหล่านั้นส่งต่อความนิยมไปถึงกลุ่มรุ่นลูก (New Generation) ได้ เพราะแบรนด์ คือ ตัวเพิ่มมูลค่าของสินค้า, เป็นภาพลักษณ์ที่เหมือนแพ็คเกจจิ้งชั้นเยี่ยม และเป็นจินตนาการที่อยู่ในความคิดของผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้แบรนด์เก่าร่วม 50 - 100 ปี จึงต้องหันมาใช้กลยุทธ์อย่าง Brand Modernization หรือการสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้ดูทันสมัย สดใหม่ และเป็นที่ยอมรับในสายตาคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นให้กับแบรนด์<br />
<br />
“เซียงเพียว” เป็นแบรนด์ยาหม่องน้ำเก่าแก่กว่าครึ่งศตวรรษ ตั้งแต่ ‘รุ่นพ่อ’ โดยเริ่มต้นคิดยาหม่องน้ำเซียงเพียวอิ๊ว เปิดตลาดมาตั้งแต่ปี 2502 เป็นรุ่นน้ำแดงที่มี 3 ขนาด เติบโตด้วยการ “บอกต่อ” สู่ทายาทรุ่นที่ 2 “สุวรรณา เอี่ยมพิกุล” บุตรสาวคนเล็กรับช่วงกิจการขยายพอร์ตธุรกิจด้วยการเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ๆ ประเภทบาล์ม และยาหม่องน้ำสีขาว มีการนำกลยุทธ์การตลาดทุกรูปแบบมาใช้สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจแบรนด์ไทยสยายปีกสู่ต่างประเทศทั่วโลก ปัจจุบันมีธุรกิจครอบคลุม 12 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดขาย 650 ล้านบาท พนักงาน 200 คน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEin5d1o4mAYWTHJLGmlDoklt_WL6lckKokMnC6m5aoHJXnG0RWKRqnT3pQiq2CXkX8EBjmlPkPDaO7pCZ_xpXjTSLNFYX9QQYRUcKntWm7RpvEt7-HshpgsRsPO1Kr220MidGg9BOGaWjE/s1600/5550000019454011.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="215" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEin5d1o4mAYWTHJLGmlDoklt_WL6lckKokMnC6m5aoHJXnG0RWKRqnT3pQiq2CXkX8EBjmlPkPDaO7pCZ_xpXjTSLNFYX9QQYRUcKntWm7RpvEt7-HshpgsRsPO1Kr220MidGg9BOGaWjE/s320/5550000019454011.jpg" width="320" yda="true" /></a></div><br />
<strong><u>บุกหนักตลาดยาดมไทย-เทศ </u></strong><br />
<br />
“จากการทำตลาดอย่างต่อเนื่องสู่กลุ่มวัยรุ่นมากว่า 2 ปี ล่าสุดปี 2555 ได้เปิดเกมรุกยกเครื่องภาพลักษณ์ใหม่ ของ “ยาดมเซียงเพียว” ในรูปโฉมใหม่ ถือเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยต้อนรับศักราชใหม่ย่างก้าวสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น โดยมีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปทรงหลอดและฉลากให้ดูร่วมสมัย แต่ยังคงความรู้สึกของความเป็นจีน<br />
<br />
พร้อมเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่วัยทำงาน อายุ 25 ปีขึ้นไป ชูจุดเด่นที่เป็นยาดมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ 100% ใช้สูดดมแล้วให้ความรู้สึก หอมสดชื่น ผ่อนคลาย ใช้แล้วปลอดภัย ไม่ฉุน ไม่แสบจมูก” ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เบอร์แทรมเคมิคอล (1982) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายยาดม “เซียงเพียว" ยาหม่องน้ำ "เซียงเพียวอิ๊ว” และ ยาดม “เพพเพอร์มินท์ฟิลด์” สุวรรณา เอี่ยมพิกุล กล่าว<br />
<br />
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2555 นี้ บริษัทได้เตรียมงบประมาณ 70 ล้านบาท สำหรับการลงทุนเชิงรุกเพื่อขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยวางกลยุทธ์การดำเนินงาน เริ่มด้วยการปรับภาพลักษณ์ยาดมเซียงเพียวให้ดูร่วมสมัยมากขึ้น โดยแผนทางการตลาดในส่วน Above the line เป็นการรุกเผยแพร่โฆษณาชุด “เซียงเพียวเวิล์ด ไวด์” เพื่อตอกย้ำการยอมรับมาตรฐานในระดับสากล และยาดมเซียงเพียวในรูปโฉมใหม่ สำหรับในส่วนของ Below the line จะเน้นกิจกรรมอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ชูแคมเปญ “เซียงเพียวโอเกะ” และ “เซียงเพียวฟุตซอล ออล สตาร์” ดึงดารานักแสดงช่อง 7 นำทีมโดย เขตต์ ฐานทัพ เดินสายทั่วทุกภาคในประเทศเพื่อสร้างการรับรู้ต่อภาพลักษณ์ใหม่ไปยังกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศ<br />
<br />
สุวรรณา กล่าวต่อว่า ตลาดในประเทศยังมีโอกาสขยายตัวสูง โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มุ่งเน้นการทำตลาดไปที่สินค้ากลุ่ม เพพเพอร์มินท์ ฟิลด์ ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ยอดขาย เพพเพอร์มินท์ ฟิลด์ ในปี 2554 เติบโต 40 % จากปี 2553 สำหรับปีนี้ ตั้งเป้าหมายเติบโต 50%<br />
<br />
สำหรับการขยายตลาดต่างประเทศ ได้ทำการเปิดตลาดใหม่ใน ฟิลิปปินส์ และมีอีกหลายประเทศที่กำลังดำเนินการนำเข้าได้แก่ ประเทศจีน แอฟริกาใต้ ปัจจุบัน เบอร์แทรม เคมิคอล มีการส่งออกสินค้าจำหน่ายในกว่า 12 ประเทศ อาทิ กัมพูชา ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี โคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา และฟิลิปปินส์ เป็นต้น<br />
<br />
ทั้งนี้ การเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ถือเป็นโอกาสทางการตลาดมหาศาล ซึ่งใน 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทวางแผนเตรียมความพร้อมองค์กรในด้านต่างๆ อาทิเช่น ความพร้อมในการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ ความพร้อมของพนักงาน ทักษะในการทำตลาดและโรดโชว์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าหมายพอร์ตรายได้ทะลุ 1,500 ล้านบาท ในปี 2558<br />
<br />
<br />
<br />
<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="left" class="body" valign="middle"><span style="color: #003366;">โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์</span></td><td align="left" class="date" valign="middle">9 กุมภาพันธ์ 2555 </td></tr>
</tbody></table><br />
<a href="http://bit.ly/wu99hI">http://bit.ly/wu99hI</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-41958653091557254212012-02-17T09:15:00.000+07:002012-02-17T09:15:12.748+07:00ดอกบัวคู่บุกตลาดรังนกกลยุทธ์การตลาด : ดอกบัวคู่บุกตลาดรังนก แต่ไม่ควรใช้ยี่ห้อดอกบัวคู่<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbGm2ZaVOffsDseSa3S6sNARLHGHJqSBEXN4_MSJRfG1TEeHalFfcQFEPaYHAZIykjCPJRdreQVHiTHlNH8OB0ul73OBxTohaMaKnPqGE0KySrQU-W5mqTtomvRFt2Q_eBGo1PpNunAT8/s1600/555000001940101.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="301" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbGm2ZaVOffsDseSa3S6sNARLHGHJqSBEXN4_MSJRfG1TEeHalFfcQFEPaYHAZIykjCPJRdreQVHiTHlNH8OB0ul73OBxTohaMaKnPqGE0KySrQU-W5mqTtomvRFt2Q_eBGo1PpNunAT8/s400/555000001940101.jpg" width="400" yda="true" /></a></div><br />
โดย ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย<br />
<br />
<br />
ดอกบัวคู่บุกตลาดรังนก แต่ไม่ควรใช้ยี่ห้อดอกบัวคู่<br />
<br />
แวดวงการตลาดมักจะมีอะไรให้ฮือฮาเสมอ<br />
<br />
ไม่ว่าเจ้าของแบรนด์ เจ้าของสินค้า<br />
<br />
จะเจตนา หรือเพราะอุบัติเหตุ<br />
<br />
ฤาเพราะกระแสผู้บริโภค .. ก็ตามแต่<br />
<br />
อย่างความเคลื่อนไหวล่าสุด ของต้นตำรับยาสีฟันสมุนไพร อย่าง “ดอกบัวคู่”<br />
<br />
ซึ่งได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แหวกออกจากไลน์เดิม (อย่างยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก แชมพู หรือครีมอาบน้ำ -- ซึ่งล้วนแต่จะต้องมีคำว่า สมุนไพร พ่วงท้ายในผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเสมอ)<br />
<br />
ครานี้ เค้าออก "รังนก”<br />
<br />
และก็ใช้ยี่ห้อ ดอกบัวคู่ วางหราบนหน้ากล่อง และหน้าขวด<br />
<br />
เวลาคนมอง ก็เข้าใจไปได้ไม่เกินสองแบบ<br />
<br />
นั่นคือ รังนกดอกบัวคู่ ไม่ก็ ดอกบัวคู่รังนก<br />
<br />
“สาเหตุที่เราใช้แบรนด์ดอกบัวคู่ เพราะเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาโปรโมตมาก และดอกบัวคู่สามารถสื่อความเป็นแบรนด์เพื่อสุขภาพที่ลิงก์กับรังนกได้ เชื่อว่าผู้บริโภคจะให้การตอบรับและไม่สับสน ที่สำคัญยังผลิตภัณฑ์รังนกช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ดอกบัวคู่ให้ดูดีขึ้นอีกด้วย" ปิติ ลีเลิศพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอกบัวคู่ จำกัด กล่าว<br />
<br />
“บริษัทได้ขยายไลน์ธุรกิจด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ "รังนก" ภายใต้แบรนด์ "ดอกบัวคู่" โดยทดลองตลาดตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา และจะเริ่มรุกตลาดมากขึ้นในปีนี้” เขาเล่าต่อ “ปัจจุบันมีวางจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไปที่เป็นเทรดดิชั่นนัล โดยใช้หน่วยจัดจำหน่ายของบริษัทเป็นผู้กระจายสินค้าด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตของ เดอะมอลล์ทุกสาขา”<br />
<br />
กลยุทธ์หลักของรังนกดอกบัวคู่ คือความคุ้มค่า คุ้มราคา<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
สโลแกนวางไว้ว่า "ได้เนื้อแน่นๆ เต็มๆ คำ" โดยการเพิ่มปริมาณเนื้อรังนกเป็น 2 เท่า แต่วางราคาใกล้เคียงกับผู้เล่นหลักในตลาดอย่างแบรนด์และสก๊อต<br />
<br />
อะไรทำให้ดอกบัวคู่มั่นใจว่าจะแข่งขัน กับคู่ต่อกรอย่างแบรนด์ และสก็อต ที่รบกันอย่างสนุกในตลาดมานานพอดู??<br />
<br />
ปิติกล่าวว่า สาเหตุหลักมาจากความพร้อมด้านวัตถุดิบที่เป็นรังนก เนื่องจากบริษัทเป็นเจ้าของ "บ้านรังนก" ที่ อ.ปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งแต่เดิมทำธุรกิจเพียงจำหน่ายรังนกแห้ง แต่เมื่อทดลองนำมาผลิตเป็นรังนกบรรจุขวด พบว่า ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค จึงตัดสินใจทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง<br />
<br />
"เป็นจุดต่างสำคัญ เพราะเรามีวัตถุดิบของตัวเอง ขณะที่ค่ายรังนก อื่น ๆ ไม่มี ทำให้เราสามารถควบคุมต้นทุน และวางราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งได้” เขากล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ<br />
<br />
“โจทย์หลักในปีนี้เน้นที่การสร้างแบรนด์”<br />
<br />
ปีนี้ ดอกบัวคู่จะเน้นสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เน้นที่บีโลว์เดอะไลน์เป็นหลัก อาทิ การโรดโชว์ และจัดชงชิมตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสทดลองสินค้ามากที่สุด<br />
<br />
“ปัจจุบันยังใช้วิธีจ้างโรงงานในกรุงเทพฯ เป็นผู้ผลิต ซึ่งบริษัทยังไม่มีแผนสร้างโรงงานผลิตเร็ว ๆ นี้ โดยจะขอดูผลตอบรับของตลาด เช่นเดียวกับช่องทางจำหน่ายยังไม่มีแผนขยายเข้าสู่ช่องทางโมเดิร์นเทรด หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต เพราะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง"<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดหวังว่าจะสามารถสร้างรังนกให้เป็นอีกขาธุรกิจหนึ่งของบริษัทได้ ด้วยตลาดที่ยังเติบโต และความพร้อมด้านวัตถุดิบ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต บริษัทมีแผนจัดสัมมนา วิธีสร้างบ้านรังนกสำหรับผู้ที่สนใจทำธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเผยแพร่ความรู้ อีกส่วนก็ระยะยาวว่าจะทำให้มีวัตถุดิบรังนกอย่างเพียงพอ<br />
<br />
"เพื่อรองรับการเติบโตของเราในอนาคตด้วย ซัพพลายที่เรามีอยู่อาจไม่เพียงพอ ก็ต้องอาศัยซื้อวัตถุดิบจากผู้ประกอบการธุรกิจบ้านรังนกหน้าใหม่เหล่านี้ในรูปแบบของคอนแท็กต์ ในราคายุติธรรมทั้ง 2 ฝ่าย"<br />
<br />
ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตเป็น 2 เท่าจากปีที่แล้ว โดยนอกจากในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังเตรียมส่งสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา, พม่า ฯลฯ ผ่านเอเย่นต์ต่าง ๆ ที่บริษัทมีการส่งสินค้าดอกบัวคู่ไปจำหน่ายก่อนหน้านี้<br />
<br />
การขยายไลน์สินค้ามาลุยตลาดรังนกของดอกบัวคู่จะประสบความสำเร็จหรือไม่?<br />
<br />
เพราะไฉน อย่างไร??<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEja7aSJKLkO4piiRz4yz4Kx3m99f0naYMNJ__S4LQcoDHDwDMuowXNT2VE-Hz3ZN84RieTVfsGDr04rEjAbpk7DY5LGJ5LaiBrm4gQAABHUDRF2wkvkdBJ3Y6-xxMdASiTTfaQWgOh2woY/s1600/555000001940103.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEja7aSJKLkO4piiRz4yz4Kx3m99f0naYMNJ__S4LQcoDHDwDMuowXNT2VE-Hz3ZN84RieTVfsGDr04rEjAbpk7DY5LGJ5LaiBrm4gQAABHUDRF2wkvkdBJ3Y6-xxMdASiTTfaQWgOh2woY/s1600/555000001940103.jpg" yda="true" /></a></div> <br />
<strong><u>บทวิเคราะห์</u></strong> <br />
<br />
<br />
แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด และอยู่ในใจผู้คนอย่างต่อเนื่องและยาวนานนั้น ส่วนใหญ่จะมี Brand Positioning ที่แข็งแกร่งหาแบรนด์ในเสมอเหมือนใน Category นั้น<br />
<br />
การเข้าสู่ธุรกิจรังนกของดอกบัวคู่นั้น หลักใหญ่เป็นเพราะมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเอง และการส่งรังนกแห้งส่งลูกค้าอยู่แล้ว จึงคิดว่าในเมื่อเรามีแหล่งวัตถุดิบเอง ทำไมไม่ทำรังนกใส่ขวดขายเสียเลย ได้กำไรมากกว่าส่วนวัตถุดิบขายตั้งเยอะ<br />
<br />
ซึ่งก็เหมือนกับโรงงานรับจ้างผลิตทั่วไปที่รับผลิตตามคำสั่ง อัตรากำไรย่อมไม่ดีเหมือนกับการผลิต สินค้าจำหน่ายตรงแก่ผู้บริโภคเสียเอง<br />
<br />
รังนกของดอกบัวคู่ก็เช่นเดียวกัน เจ้าของคงคิดว่าเมื่อเราขายในแง่วัตถุดิบมานานแล้วได้กำไรไม่มาก ทำไมไม่ทำออกเป็นรังนกขวดเสียเอง<br />
<br />
เมื่อเราเป็นเจ้าของรังนกเอง ต้นทุนก็ถูกกว่ายี่ห้ออื่นที่ต้องไปรับซื้อรังนก ก็ใส่รังนกเข้าไปสองเท่าแต่ขาย ราคาเท่ากับยี่ห้ออื่น จ่ายเท่ากันแต่ได้รังนกเป็นสองเท่าเลย เพิ่มปริมาณสองเท่าราคาคงเดิม<br />
<br />
การที่ดอกบัวคู่กล้าลงมาทำรังนกเองก็เพราะตนเองทำยาสีฟันดอกบัวคู่ ฯลฯ ซึ่งเป็นสินค้าสุขภาพในช่อง ปาก ในชื่อดอกบัวคู่ ซึ่งติดตลาดทั้งยาสีฟัน ยาสระผมและน้ำยาบ้วนปาก คนรู้จักกันทั้งบ้านทั้งเมือง จึงไม่ใช่ เรืิ่งยากที่จะทำสินค้าอีกสักตัวนึงภายใต้ชื่อดอกบัวคู่ แต่คราวนี้ไม่ใช่สินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพในช่องปากและ ยาสระผม แต่กลายเป็นรังนกที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องอะไรกันเลยกับยาสีฟัน ยาสระผม หรือน้ำยาบ้วนปาก แต่ที่ใช้ชื่อ เดียวกันก็เพราะเห็นว่ามีคนรู้จักดีอยู่แล้วเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่เลย ก็ใช้ดอกบัวคู่นี่แหละ แต่เป็นรังนกดอกบัวคู่<br />
<br />
ถือเป็นการทำ Brand Extension ที่ท้าทายมากๆ เพราะใช้ขยายข้ามมาสู่สินค้าที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับ สินค้าเดิมแม้แต่น้อย เป็น Category Extension ไปเลย อันที่จริงก็มีหลายแบรนด์ทำกันเยอะ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อย่างใด แต่ก็มีไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ<br />
<br />
และที่ประสบความสำเร็จนั้น คุณภาพเป็นที่หนึ่งและใช้ความสามารถในการสื่อสารการตลาดอย่างมาก แบรนด์นั้นไม่ผูกติดกับสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่งอย่างชัดเจน เช่น Virgin <br />
<br />
การที่ดอกบัวคู่ประสบความสำเร็จในยาสีฟัน แชมพู ไม่ได้หมายความว่าจะส่งความสำเร็จข้ามมาให้ รังนกดอกบัวคู่ได้ ยิ่งเป็นสินค้าที่เป็นของใช้มาสู่การเป็นของกิน และรังนกแบบบรรจุขวดนั้นคุณประโยชน์ก็ไม่ชัดเจนว่าจะทำให้สุขภาพดีเลิศเมื่อดื่มเข้าไปแต่อย่างใด ซึ่งต่างจากโสมเกาหลี ขณะที่เจ้าตลาด ก็สื่อว่าดื่มมากๆแล้วจะทำให้หน้าตาสดใส หรือหน้าตาดี ก็ไม่รู้ว่าต้องกินกี่ขวด<br />
<br />
แต่การที่ให้ปริมาณเป็นสองเท่า ขณะที่ราคาเท่ากับคู่แข่งนั้น ก็อาจจะทำให้รังนกดอกบัวคู่กลายเป็น รังนกราคาถูก ซึ่งสามารถสร้างตลาดใหม่ของคนที่ไม่มีกำลังซื้อรังนกของแบรนด์ดัง<br />
<br />
แต่ถ้าดอกบัวคู่จะสร้างตลาด Low Cost รังนกขึ้นมา ขายครึ่งราคา ในปริมาณเท่ากับเจ้าตลาดเลย น่าจะสร้างตลาดใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งอาจจะทำให้คนที่บริโภคยี่ห้อเจ้าตลาดอยู่แล้วมาซื้อรังนกๅดอกบัวคู่ ขณะที่คนที่ไม่เคยซื้อเพราะราคาแพง ก็อาจจะเป็นลูกค้ารายใหม่ก็ได้<br />
<br />
โดยหลักของ Brand Extension แล้วไม่ควรใช้ดอกบัวคู่ เพราะดอกบัวคู่คือสมุนไพร แต่รังนกคืออาหารเสริม<br />
<br />
แต่ถ้าดอกบัวคู่คิดว่ารังนกคือโอกาสทางธุรกิจ มีช่องว่างตลาด ไม่มีรังนกราคาถูก ก็ใช้การสื่อสารการตลาด ทำให้คนรู้ว่าของดีราคาถูก มีขายแล้วนะ มาซื้อกินกันซิ ยอดขายอาจจะถล่มทลาย<br />
<br />
นั่นคือหลักการแบรนด์อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่ถ้ามั่นใจในการตลาด ลุยไปเลย<br />
<br />
<br />
<br />
<table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="left" class="body" valign="middle"><span style="color: #003366;">โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์</span></td><td align="left" class="date" valign="middle">9 กุมภาพันธ์ 2555 16:33 น.</td></tr>
</tbody></table><a href="http://bit.ly/ABpUJL">http://bit.ly/ABpUJL</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-23373690191160605392012-02-09T11:14:00.001+07:002012-02-09T11:15:03.711+07:00ศึก CRM บู๊ทส์ VS วัตสัน จัดหนักผ่านบัตร ปั๊มยอดสมาชิก2 บิ๊กแบรนด์จากร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม (Speacialty Store) เมืองไทย “บู๊ทส์ - วัตสัน” เปิดเกมการแข่งขันรอบใหม่ ประเดิมไตรมาสแรกของปีมังกร ในรูปแบบการทำซีอาร์เอ็มผ่านบัตรสมาชิก ออกแคมเปญ และอัดโปรโมชั่นเต็มแรง<br />
<br />
ด้านแบรนด์ “ บู๊ทส์” กับกลยุทธ์ฮาร์ดเซลผ่านบัตร Advantage Card แบบจัดหนักลดราคาแจกสินค้าแบบ เร่งมือโกยยอดสมาชิกเข้าสู่ระบบบัตรสมาชิก พร้อมเร่งขยายสาขาประกบคู่แข่ง ส่วนแบรนด์ “วัตสัน” เดินหน้าอัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมภายใต้แนวคิด Value for Money ผ่านบัตรสมาชิกวัตสัน เม็มเบอร์ การ์ด ที่มีฐานสมาชิกกว่า 6 แสนราย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXyTQ5X4t1LCTypisnWsXN71KrNzenDDqeqdJ82i1jfsVjjwCVHpsV-PL-Z-vLLz9iVMltuIMGuDdWDJAaqyxgwwJ4Cb6HJzjyG6Xy22mKw0veEiLfc_Bhc-5Errmp-fJtIj1fnrCYGwM/s1600/555000001595701.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXyTQ5X4t1LCTypisnWsXN71KrNzenDDqeqdJ82i1jfsVjjwCVHpsV-PL-Z-vLLz9iVMltuIMGuDdWDJAaqyxgwwJ4Cb6HJzjyG6Xy22mKw0veEiLfc_Bhc-5Errmp-fJtIj1fnrCYGwM/s320/555000001595701.jpg" width="320" /></a></div> <br />
<strong>จุดกำเนิดสงคราม 2 คู่เดือด</strong> <br />
<br />
ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีก่อน บู๊ทส์ และวัตสัน เข้ามาเมืองไทยในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน และวางตำแหน่งเป็น"ร้านเพื่อสุขภาพและความงาม"(Speacialty Store) โดยแบรนด์วัตสัน เข้ามาเปิดในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2539 ก่อนบู๊ทส์เพียงปีเดียว<br />
<a name='more'></a><br />
กลยุทธ์การตลาดของ 2 แบรนด์นี้ มีจุดเริ่มและวิธีการแตกต่างกัน เริ่มจากบู๊ทส์ เชนสโตร์จากผู้ดีเมืองอังกฤษ เน้นจัดวางคอนเซ็ปต์ร้านที่โอ่โถงและรูปลักษณ์ดู "ไฮโซ"และ "เนี๊ยบ" โดยสินค้ามีราคาค่อนข้างสูง ขณะที่วัตสันเป็นเชนสโตร์จากฮ่องกง กลับมีรูปแบบการจัดเรียงสินค้าที่เรียบง่าย เน้นสินค้าอัดแน่นชั้นวาง และพื้นที่ดิสเพลย์ค่อนข้างหนาแน่นโดยสินค้ามีราคาถูกกว่า อาจกล่าวได้ว่า วัตสันค่อนข้างได้เปรียบในแง่การวางกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้า ทำให้สามารถจับจุดพฤติกรรมผู้บริโภคไทยซึ่งเป็นชาวเอเชียด้วยกันถูก ส่งผลให้แบรนด์วัตสันจึงเข้าไปอยู่ในใจคนไทยได้อย่างรวดเร็ว<br />
<br />
นับจากนั้นเป็นต้นมา บู๊ทส์ได้ปรับยุทธศาสตร์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ ไล่จี้วัตสันโดยใช้โมเดลการตลาด Lifestyle Marketing ตั้งแต่กิจกรรม โปรโมชั่น ราคา และสินค้าที่เน้นหนักทำความเข้าใจความต้องการของคนไทยแทบทั้งสิ้น กระทั่งปัจจุบันบู๊ทส์มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่า 200 แห่ง<br />
<br />
ขณะที่วัตสัน ก็เดินหน้าใช้ความเป็น Asian Style กับจุดแข็งในความเข้าถึงความต้องการของคนไทยอย่างเข้าใจและลึกซึ้งภายใต้กลยุทธ์ Consumer Focus Marketing สร้างสรรค์กิจกรรมทางการตลาดที่ตรงใจผู้บริโภค และสรรค์หาสินค้าที่ตรงกับความต้องการในแต่ละพื้นที่ได้ดี ส่งผลให้วัตสันกลายเป็นผู้นำตลาดสเปเชี่ยลตี้สโตร์เมืองไทย<br />
<br />
<strong>เกมรบซีอาร์เอ็มชิงลูกค้า</strong><br />
<br />
มาในปีนี้ 2555 เกมการตลาดรอบใหม่กลับมาอีกครั้ง เมื่อ บู๊ทส์ ออกมาประกาศชัดเปิดศึกซีอาร์เอ็ม ผ่านบัตรสมาชิก ที่เน้นโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม พร้อมสิทธิพิเศษให้สมาชิกผ่านบัตร “ Advantage Card” ขณะที่วัตสัน ก็ไม่น้อยหน้า ชูบัตรสมาชิก “วัตสัน เมมเบอร์ การ์ด” เดินหน้าอัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมภายใต้แนวคิด Value for Money<br />
<br />
บู๊ทส์ มุ่งเน้นความสำคัญในการทำซีอาร์เอ็มกับลูกค้า ในหลักคิด Individual Consumer เพื่อตอบสนองความต้องการสูงสุดของผู้บริโภคแต่ละคนผ่านบัตรสมาชิก บู๊ทส์ แอดเวนเทจการ์ดที่ให้ส่วนลดราคา โปรโมชั่นใหม่ๆและสิทธิประโยชน์เฉพาะสมาชิกร้านบู๊ทส์ ซึ่งการสร้างสรรค์โปรโมชั่นนั้นจะอยู่ภายใต้ความต้องการของผู้บริโภคแบบอินไซต์ หรือเชิงลึกเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจสูงสุด เกิดการกลับมาซื้อซ้ำและบอกต่อ” ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย บริษัทบู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด อรอุมา ชวลิตธรรมรง กล่าว<br />
<br />
โปรโมชั่นล่าสุด ในแอดเวนเทจการ์ด ของบู๊ทส์ นำเสนอ 2 รูปแบบ 1.ลดราคา 5 % เมื่อซื้อสินค้าเฮาส์แบรนด์ของบู๊ทส์ 2.ซื้อสินค้าครบทุก 20 บาทได้สะสมคะแนน 1 คะแนน เมื่อสะสมครบ 50 คะแนน ได้ส่วนลด 10 บาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นแต่ละฤดูกาลปรับเปลี่ยนไปเพื่อสร้างความหลากหลายและความคุ้มค่าคุ้มราคาให้กับผู้บริโภค<br />
<br />
ปัจจุบัน ร้านบู๊ทส์มีสาขากว่า 200 แห่งทั่วประเทศ สินค้าภายในร้านบู๊ทส์ มีทั้งสิ้น 6,000 เอสเคยู โดย 2,500 เอสเคยู เป็นสินค้าเฮาส์ แบรนด์ และ 1,000 เอสเคยู เป็นสินค้าที่ผลิตในเมืองไทย และจ้างผลิต หลักๆ จะเป็นสินค้าเกี่ยว กับ สกินแคร์ และความงาม<br />
<br />
นอกจากนี้ ยังมีสื่อ ณ จุดขาย หรือนิตยสาร เป็นสื่อสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภค นั่น คือ ออนไลน์ มีเดีย เพราะสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่นิยมบริโภคสื่อออนไลน์ ด้วยการเปิดตัวเว็บไซต์ http://th.boots.com เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว<br />
<br />
“ ภายในเว็บไซต์จะมีหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น, กิจกรรม, แนะนำสินค้าใหม่ หรือการเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ของบู๊ทส์เอง อย่างบู๊ทส์ เฮลท์คลับ ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ เพราะภายในเว็บไซต์ดังกล่าว จะมีมุมสุขภาพ หรือเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ” อรชุมา กล่าวเพิ่ม<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlnFk-zcDuDud58s6xJ5IEB8_xZZShVqReRSOAJvkGIBPPOUJ62MtJBrWe-Q18Fi4AN_zxdfIYJEMjpZISC-Q-83bFZCsJ5jvO8P68IjbsENZz_S2rGNL5ma2LmquzzJWSyMrGsqgPn_M/s1600/555000001595703.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="144" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlnFk-zcDuDud58s6xJ5IEB8_xZZShVqReRSOAJvkGIBPPOUJ62MtJBrWe-Q18Fi4AN_zxdfIYJEMjpZISC-Q-83bFZCsJ5jvO8P68IjbsENZz_S2rGNL5ma2LmquzzJWSyMrGsqgPn_M/s320/555000001595703.jpg" width="320" /></a></div> <br />
ด้านวัตสันที่มีความเคลื่อนไหวเรื่องของโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงฤดูกาล ภายใต้แนวคิด Value for Money ผ่านบัตรสมาชิกวัตสัน เม็มเบอร์ การ์ด ที่มีฐานสมาชิกกว่า 6 แสนราย โดย กรรมการผู้จัดการบริษัท เซ็นทรัลวัตสัน จำกัด โทบี้แอนเดอร์สัน เคยกล่าวไว้ว่า <br />
<br />
<br />
" ให้ความสำคัญ กับการทำซีอาร์เอ็ม ผ่านบัตรสมาชิกวัตสัน เม็มเบอร์ การ์ด ที่ให้สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกโปรโมชั่นราคาและของแถม อีกทั้งยังเน้นให้น้ำหนักกับการปรับสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและย้ำภาพเรื่องสุขภาพและความงามให้ชัดขึ้น สร้างความคึกคักให้ตลาดสินค้าเฉพาะทางหรือสเปเชียลตี้สโตร์ ทำให้เกิดการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ<br />
<br />
ที่ผ่านมา วัตสันมีการเก็บฐานข้อมูลลูกค้ามาประมาณ 2 ปีจากบัตรสมาชิก ขณะนี้มีสมาชิกทั้งหมด 600,000 คน โดยลูกค้าเน้นการซื้อสินค้าในกลุ่มลูกค้าเครื่องสำอาง เวชสำอาง และสุขภาพมากที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับแผนการขยายสาขาในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีกกว่า 20 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 170 แห่ง ซึ่งจะมีผลให้ร้านวัตสันมีสาขาเพิ่มเกือบ 200 แห่งทั่วประเทศ<br />
<br />
ส่วนการปรับรูปแบบร้านวัตสันจะเน้นความทันสมัยมากขึ้น ด้วยการจัดวางสินค้าที่มีความสะอาดตาและมีป้ายบอกโซนผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ชัดเจน เพิ่มพื้นที่ผลิตภัณฑ์ถนอมผิวและเครื่องสำอางนำเสนอผลิตภัณฑ์แบรนด์วัตสันอย่างเป็นสัดส่วน รวมทั้งการเปิดมุมพิเศษเพื่อตรวจสภาพผิวและทำทรีตเมนต์ ที่สำคัญคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าคุ้มราคา<br />
<br />
ปัจจุบัน สินค้าในวัตสันแบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก คือ 1.Private Brand - แบรนด์ที่มีจำหน่ายเฉพาะวัตสัน 2.Own Brand - เฮาส์แบรนด์ของวัตสัน และ3.แบรนด์ทั่วๆไป ส่วนการหาพื้นที่แต่ละสาขาจะเน้นไปกับห้างเป็นหลัก และแบ่งไซส์ให้เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งวัตสันมีจุดแข็งในเรื่องนี้<br />
<br />
<strong><span style="color: orange;">“ ซีอาร์เอ็ม เชิงลึก” </span></strong><br />
<strong><span style="color: orange;"></span></strong><br />
<strong><br />
<span style="color: orange;"></span></strong><br />
<strong><span style="color: orange;">ศึกชิงลูกค้ารอบใหม่</span></strong><br />
<br />
กูรูค้าปลีกฟันธง แบรนด์วัตสันเหนือกว่าบู๊ทส์ เพราะมีกลยุทธ์ที่เข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่าอีกทั้งความเป็นเอเชียแบรนด์ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์และความต้องการลูกค้าเอเชียด้วยกัน ระบุการแข่งขันช่วงชิงลูกค้าของธุรกิจร้านจำหน่ายสินค้าสุขภาพและความงาม มุ่งเน้นเกมแข่งขันด้านซีอาร์เอ็มผ่านบัตรสมาชิกที่เพิ่มสิทธิประโยชน์แบบฮาร์ดเซล<br />
<br />
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์สากล มหาวิทยาลัยศรีปทุม ฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านค้าปลีก พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ วิเคราะห์ว่า บู๊ทส์ กับวัตสัน เป็นคู่แข่งขันกันมานานแล้ว หลังจากบู๊ทส์เองพยายามปรับตัวตลอด หลังจากช่วงหนึ่งเคยเพลี่ยงพล้ำให้กับวัตสัน <br />
<br />
จุดเด่นที่สร้างความได้เปรียบให้กับวัตสัน นอกจากเป็นร้านเชนเอเชียจากฮ่องกงซึ่งมีไลฟ์สไตล์จึงมีความคล้ายคลึงคนไทยและเข้าใจคนไทยมากกว่า เมื่อเทียบกับบู๊ทส์ที่เป็นของอังกฤษการกลับมาครั้งนี้ของบู๊ทส์เน้นปรับร้านเป็นไซส์เล็ก การจัดร้านและกิจกรรมที่ดำเนินภายใต้กรอบของไลฟ์สไตล์ มาร์เก็ตติ้ง<br />
<br />
“ ข้อได้เปรียบของวัตสันมีมากกว่า ตรงที่แบรนด์และสินค้าถูกจัดวางแบบ Asian Style ลักษณะเปิดหน้าร้าน (Open Type) เพราะสภาพอากาศร้อนแตกต่างจากเมืองหนาวที่การจัดร้านจะเป็นแบบปิด (Close Type) สไตล์การจัดร้านของวัตสันจึงออกมาในลักษณะของเต็มร้าน ดูเรียงรายเต็มพื้นที่ทั้งในร้านและหน้าร้าน สินค้าดูมีความหลากหลายน่าซื้อ และมีราคาถูก ทำให้วัตสันจึงประสบความสำเร็จในเมืองไทยเพราะสไตล์แบบนี้ คนไทยจะชอบ”<br />
<br />
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ แสดงความเห็นว่า แนวโน้มธุรกิจการแข่งขันสเปเชี่ยลตี้สโตร์ในเมืองไทยในระยะ 2 ปีมานี้ จะเน้นการทำซีอาร์เอ็มแบบเชิงลึก หรือ Individual Consumer เจาะผู้บริโภคแต่ละคน ด้วยการสร้างสรรค์โปรโชั่นใหม่ๆ ทั้งลดราคา แถมสินค้า และสิทธิประโยชน์เพื่อสร้างความคุ้มค่าคุ้มราคาแบบเฉพาะผู้ถือบัตรสมาชิก การใช้ซีอาร์เอ็มในธุรกิจค้าปลีก หลายเซ็กเมนต์ แข่งขันกันอย่างดุเดือด ซึ่งค้าปลีกในเซ็กเมนต์สเปชี่ยลตี้สโตร์ก็ใช้แนวทางนี้จึงไม่ใช่แรื่องแปลก และมองว่าเป็นเทรนด์ที่แข่งขันกันดึงดูดสมาชิก เพื่อต้องการรักษาฐานสมาชิกระยะยาวของแบรนด์ตนเองไว้ <br />
<br />
ปัจจุบันผู้เล่นหลักในตลาดรายใหญ่ที่เป็นเชนสโตร์ มี วัตสัน กับ บู๊ทส์ ที่ยังเน้นกลยุทธ์ราคาผ่านการทำซีอาร์เอ็ม หากแต่ต้องทำควบคู่กับแนวคิด 3 L ประกอบด้วย <br />
<br />
1.Location-ผู้บริหารเข้าใจพื้นที่ในการเปิดสาขา <br />
<br />
2.Legalization-แนวทางการปรับตัวเข้ากับกฏระเบียบ กฏหมายผังเมือง และข้อห้ามในพื้นที่ที่จะเปิดสาขา <br />
<br />
3.Localization-ทำการตลาดตามไลฟ์สไตล์ของคนไทยในแต่ละพื้นที่Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-32951203304177698802012-02-09T11:07:00.001+07:002012-02-09T11:08:41.354+07:00ผลวิจัยพฤติกรรมลูกค้ารถหรู Switch Brand ต่ำ Loyalty สูงสำหรับแบรนด์อื่นที่ไม่ใช่บิ๊กทรีจากเยอรมนีที่ครองความยิ่งใหญ่ในตลาดรถยนต์ระดับหรู แต่คิดเข้ามากอบโกยยอดขายในตลาดนี้ หลังอ่านบทวิจัยชิ้นล่าสุดของทาง Polk and AutoTrader แล้วอาจถอดใจง่ายๆ หรือพานไม่อยากเข้าตลาดอีกเลยก็ได้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHywftLNhlSxXexfiEpsK6xPdcSXjj4Mm9CTfQUs9v698o_-gJkzxd1ojTYUTgrqneTTdlLQEBG6REMVz3LHr17YL1Dvg3J_cdRU_bvG92qnlUdkKeiOBFZrMPkvR-3pGtrKbLyP6ThKw/s1600/555000001883801.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="233" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHywftLNhlSxXexfiEpsK6xPdcSXjj4Mm9CTfQUs9v698o_-gJkzxd1ojTYUTgrqneTTdlLQEBG6REMVz3LHr17YL1Dvg3J_cdRU_bvG92qnlUdkKeiOBFZrMPkvR-3pGtrKbLyP6ThKw/s320/555000001883801.jpg" width="320" /></a></div> <br />
งานวิจัยชิ้นใหม่ล่าสุดของทาง Polk and AutoTrader มีขึ้นภายใต้หัวข้อที่เรียกว่า <br />
<br />
<strong><em>2012 New Luxury Vehicle Loyalty Study</em></strong><br />
<br />
ยืนยันว่าลูกค้าของแบรนด์รถยนต์ระดับหรู หากยึดมั่นอยู่กับแบรนด์ใดแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะมีสิ่งที่เรียกว่า “ข้ามแบรนด์” เกิดขึ้น เพราะความยึดมั่น หรือ Brand Loyalty ค่อนข้างสูงกว่ารถยนต์กลุ่มอื่นๆ<br />
<br />
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะเห็นลูกค้าของบีเอ็มดับเบิลยูกระโดดข้ามมาหาเมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือออดี้ อีกทั้งการตัดสินใจซื้อรถยนต์สักรุ่นของลูกค้าที่เป็นหน้าใหม่ในตลาดก็จะมองที่แบรนด์เป็นหลัก<br />
<br />
“ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นเบอร์ 1 เบอร์ 2 หรือเบอร์ 3 ในตลาด ตรงนี้ถือว่าได้เปรียบอย่างมาก” ริค เวนเชล รองประธานฝ่ายวิจัยของ Polk and AutoTrader กล่าว<br />
<br />
แม้ไม่ใช่งานวิจัยอ้างอิงจากกลุ่มตัวอย่างของลูกค้าทั่วโลก แต่การดำเนินการครั้งนี้พุ่งตรงไปที่ชาวอเมริกันที่เป็นกลุ่มลูกค้าของแบรนด์รถยนต์ระดับหรู และเป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐอเมริกา ถือเป็นตลาดใหญ่สำหรับแบรนด์ไฮเอนด์เหล่านี้ แม้ในช่วงหลังตลาดจีนเริ่มทำยอดตีตื้นขึ้นมาหลังมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นทุกวันก็ตาม<br />
<a name='more'></a>Polk and AutoTrader เผยว่า การสุ่มตัวอย่างมีขึ้นจากชาวอเมริกัน 1,485 คน โดยทีมงานสอบถามความคิดเห็นตลอดช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2011 โดยพุ่งเป้าไปที่ 6 แบรนด์หรูในตลาด ซึ่งนอกจากบิ๊กทรีจากเยอรมนีแล้ว ที่เหลืออีก 3 คือ คาดิลแลค แบรนด์เจ้าถิ่นจากค่ายจีเอ็ม, เลกซัสของโตโยต้า และอาคูราของฮอนด้า (แต่กลับไม่มีอินฟินิตี้ของนิสสัน)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTgkwlIxgJZo7toHdwZUeMj3hPik4NwO7aLwfCAbka8RcyDy6mKc-TKP8BIXdAoxv6MrLHmwdpqgTNb_N9pnUPxPOq1eTlSvObHfc5RNjGFTRDsWasoJCRsP0zkYLJL-LVoNOJaYL92FI/s1600/555000001883802.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="215" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTgkwlIxgJZo7toHdwZUeMj3hPik4NwO7aLwfCAbka8RcyDy6mKc-TKP8BIXdAoxv6MrLHmwdpqgTNb_N9pnUPxPOq1eTlSvObHfc5RNjGFTRDsWasoJCRsP0zkYLJL-LVoNOJaYL92FI/s320/555000001883802.jpg" width="320" /></a></div><br />
<strong>ปัจจัยหลัก : มั่นใจแบรนด์ </strong><br />
<br />
ผลวิจัยครั้งนี้ระบุถึงเหตุผลหลักที่มีสัดส่วนถึง 44% ของกลุ่มตัวอย่างในการตัดสินใจซื้อรถยนต์หรูสักคน ซึ่งชี้ไปที่ความมั่นใจต่อแบรนด์ ขณะที่งานออกแบบรูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายใน ที่ควรเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ในการตัดสินใจกลับอยู่อันดับ 5 และมีสัดส่วนเพียงแค่ 16% เท่านั้นเท่ากับปัจจัยในด้านราคาขาย<br />
<br />
“งานวิจัยครั้งนี้มีส่วนช่วยอย่างมากที่จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมและทิศทางของผู้บริโภค ซึ่งบรรดานักการตลาดจะได้รับประโยชน์ในการจัดการงานด้านการขาย มีความสำคัญอย่างมากในการที่นักการตลาดจะมองหาช่องทางในการเข้าถึงความต้องการของลูกค้า ในขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในช่วงประมวลผล เพื่อตัดสินใจซื้อรถยนต์หรูสักรุ่น” เวนเชลเพิ่มเติม<br />
<br />
ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ระดับหรูของกลุ่มตัวอย่าง นอกจากเรื่องการยึดมั่นในแบรนด์ หรือความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีใกล้ชิดหรือสนิทกับแบรนด์นั้นๆ แล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่อยู่ในอันดับต้นๆ คือ คุณภาพและความทนทาน 33% และสมรรถนะในการขับขี่ 24%<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhckq5dYGWkr2OVwd3s7TGHnQELuWwTwBGjTBxnJN4Tyu07g8MGh_cUs5YmgdgsmzfChk1rvxxRQbmsTmMNMv-Rlh9bc754IztMhhzqyS5p7x2zQ9ts3X7sMKYNG_cysMrKlpiV8AGQWIE/s1600/555000001883803.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="159" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhckq5dYGWkr2OVwd3s7TGHnQELuWwTwBGjTBxnJN4Tyu07g8MGh_cUs5YmgdgsmzfChk1rvxxRQbmsTmMNMv-Rlh9bc754IztMhhzqyS5p7x2zQ9ts3X7sMKYNG_cysMrKlpiV8AGQWIE/s320/555000001883803.jpg" width="320" /></a></div> <br />
<strong>ผู้หญิง : ยึดมั่นแบรนด์มากกว่าผู้ชาย</strong> <br />
<br />
<strong>ความเชื่อมั่นในแบรนด์ยังแตกต่างตามช่วงอายุและเพศด้วย</strong><br />
ผลการสำรวจระบุว่า ลูกค้าผู้หญิงยึดมั่นกับรถยนต์แบรนด์หรูมากกว่า ด้วยปัจจัยความใกล้ชิดกับดีลเลอร์ผู้ขายมากถึง 17% เทียบกับผู้ชายที่เลือกปัจจัยนี้เป็นปัจจัยหลักเพียง 11% นอกจากนั้น ลูกค้าผู้หญิงยังเลือกซื้อรถจากปัจจัยเรื่องความปลอดภัยถึง 10% เมื่อเทียบกับผู้ชายที่มีเพียง 5%<br />
<br />
พิจารณาจากเรื่องอายุ ผู้ตอบแบบสอบถามอายุมากกว่า 55 ปี ยึดมั่นแบรนด์มากกว่า เป็นสัดส่วน 47% ขณะที่กลุ่มอายุต่ำกว่า 55 ยึดมั่นแบรนด์ 47% ส่วนผู้ซื้อที่อายุต่ำกว่านั้น 54% จะคิดถึงเรื่องคุณภาพ และความวางใจได้มากกว่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้ มีผลสำหรับกลุ่มอายุมากกว่า 55 ปีเพียง 31%<br />
<br />
<strong>คาดิลแลค : ลูกค้าเชื่อมั่นสูงสุด</strong><br />
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการวิจัยในครั้งนี้คือ แต่ละแบรนด์มีจุดเด่นที่อยู่ในความสนใจของลูกค้าแตกต่างกันไป และความรู้สึกสนิทหรือเป็นส่วนหนึ่งกับแบรนด์ของลูกค้าในแต่ละแบรนด์จะมีระดับที่ไม่เท่ากัน ไม่น่าเชื่อว่ากลุ่มลูกค้าที่เป็นสาวกของคาดิลแลคมีระดับตรงส่วนนี้มากที่สุดในบรรดาแบรนด์ทั้ง 6 ที่ทำการสำรวจ<br />
<br />
ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยูขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์รถยนต์หรูเน้นสมรรถนะการขับขี่ ส่วนลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และอาคูรา ยอมรับว่าจุดเด่นของแบรนด์ คือ ความทนทาน และคุณภาพ ออดี้ คืองานออกแบบ เลกซัส คือประสิทธิภาพในการทำงานของดีลเลอร์ หรือบริการหลังการขาย<br />
<br />
นอกจากนั้น การวิจัยครั้งนี้ยังกล่าวถึงเหตุผลที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจย้ายค่าย หรือย้ายแบรนด์ ซึ่งเรื่องในลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แม้ระดับความยึดมั่นในแบรนด์จะมีมากก็ตาม<br />
<br />
ประเด็นแรกที่เป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดการย้ายแบรนด์ คือ ราคา/การรองรับด้านการเงิน และคุณค่าของตัวรถ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 24% ตามด้วยขนาดและงานออกแบบตัวถัง 20% ความหลงใหลหรือรู้สึกใกล้ชิดในแบรนด์ 17% ความเปลี่ยนแปลงทางด้านกาลเวลา 14% และสมรรถนะในการขับขี่ 13%<br />
<br />
“ผลวิจัยส่วนนี้สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับกลุ่มลูกค้า แม้พวกเขาจะมีสิ่งที่เรียกว่าการมั่นใจแบรนด์ แต่การตัดสินใจย้ายหรือเปลี่ยนจากแบรนด์หนึ่งมายังอีกแบรนด์หนึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย” มาร์ค เพาเซ นักวิเคราะห์ของ Polk and AutoTrader กล่าว<br />
<br />
เห็นอย่างนี้แล้ว บรรดาแบรนด์อย่างโฟล์คสวาเกน หรือวอลโว่ที่กำลังพยายามอย่างหนักในการต่อสู้เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดกลุ่มนี้เห็นทีคงต้องออกแรงอีกมาก กว่าจะสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดจากกลุ่มผู้นำเดิมที่มีอยู่<br />
<br />
<br />
บทความจาก <a href="http://www.manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9550000017918">http://www.manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9550000017918</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-71461435400735390142012-02-09T11:01:00.001+07:002012-02-09T11:02:32.606+07:00การตลาดอัจฉริยะทำการตลาดสมาร์ตโฟน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFLqYhrO4n6O4_LpccpXLS-pYpdpZtwjkNUGZ3_WNnkLYZFbL450mWfFu2AgW4b8x-ATzdcSg6nZu7CSX28uraFP8eliTNVDXBY_3WE1n-O48H4VLu7jtbPojO3M3euU8iqYSTjSQKLlU/s1600/555000001890101.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFLqYhrO4n6O4_LpccpXLS-pYpdpZtwjkNUGZ3_WNnkLYZFbL450mWfFu2AgW4b8x-ATzdcSg6nZu7CSX28uraFP8eliTNVDXBY_3WE1n-O48H4VLu7jtbPojO3M3euU8iqYSTjSQKLlU/s1600/555000001890101.jpg" /></a></div><br />
แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือ จากมือถือธรรมดามาเป็นโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ตโฟน พบว่าไม่ได้ประสบความสำเร็จทางการตลาดเสมอไป หากกิจกรรมการตลาดที่เกี่ยวข้องกับสมาร์ตโฟนไม่ได้แสดงความอัจฉริยะให้เพียงพอต่อความน่าเชื่อถือด้านบริการรูปแบบใหม่ สมรรถนะของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของสมาร์ตโฟนแบรนด์นั้นๆ<br />
<br />
ตามรายงานการวิเคราะห์ทางการตลาดของ Analysys Mason ที่ทำการสำรวจผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ พบว่า 46% หรือเกือบครึ่งหนึ่งหันมาใช้สมาร์ตโฟนแล้ว แต่ความรู้สึกหลังจากการใช้สมาร์ตโฟน ไม่ได้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าตนได้แรงจูงใจในการยกระดับอัจฉริยะในการใช้งานโทรศัพท์มือถือให้สมกับชื่อสมาร์ตโฟนแต่อย่างใด<br />
<br />
นอกจากนั้น การศึกษาของ TMT ที่เป็นส่วนหนึ่งของรายงานใน Analysys Masonที่มาจากการสอบถามผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 7,485 คน ใน 6 ประเทศทางยุโรปและสหรัฐ ระบุว่า ราคาที่แพงลิ่วของสมาร์ตโฟน และการตัดสินใจซื้อสมาร์ตโฟนโดยไม่เข้าใจเกี่ยวกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ล้ำหน้าอย่างเพียงพอ กลายเป็นจุดที่ทำให้การรับรู้และทัศนคติของผู้ใช้สมาร์ตโฟนไม่ได้เห็นการเพิ่มความอัจฉริยะของสมาร์ตโฟนตามชื่อไปด้วย<br />
<a name='more'></a>การสอบถามครั้งนี้ ได้แจกแจงประเด็นของฟังก์ชั่นที่เพิ่มขึ้นของสมาร์ตโฟน อย่างเช่น โมบายบรอดแบนด์ โมบายวอยซ์ บริการให้ชมทีวีและวิดีโออย่างละเอียด<br />
<br />
ผลการศึกษาทำให้ได้ข้อสรุปว่า แม้แต่ประชากรในยุโรปและสหรัฐที่ชื่อว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ยังไม่เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของสมาร์ตโฟนจากโทรศัพท์มือถือปรกติ หรือธรรมดา เพราะผู้ใช้งานยังมีความสับสนเกี่ยวกับความแตกต่างของเน็ตเวิร์ก เจเนอเรชั่นของเซลลูลาร์ และสมาร์ตโฟนที่สามารถแสดงภาพได้อย่างมีศักยภาพมากกว่า<br />
<br />
อย่างเช่นงานการตลาดไอโฟน 4 ของแอปเปิล ทำให้ลูกค้าเพียง 46% รู้สึกว่าตนมีศักยภาพเหนือกว่าคนอื่นในการใช้ 4G เพราะคนส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลทางการตลาดเกี่ยวกับ 4G น้อยเกินไป และนั่นส่งผลต่อการรับรู้ในความอัจฉริยะของสมาร์ตโฟนต่ำกว่าความคาดหมายของผู้ประกอบการและนักการตลาดที่วางจำหน่ายสินค้าสมาร์ตโฟนอย่างมีนัยสำคัญ<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ประเด็นอื่นๆ เกี่ยวกับการสำรวจผู้ใช้สมาร์ตโฟนทำให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้มือถือได้เหมือนกัน อย่างเช่น<br />
<br />
ประการแรก ผู้ใช้มือถือใช้มือถือในการเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ในการสื่อสารนานมากขึ้น และมีการส่งข้อมูล (data) มากขึ้นในระหว่างการสื่อสารกัน โดยระยะเวลาเฉลี่ยเพิ่มเป็น 8.8 ชั่วโมงต่อวัน<br />
<br />
ประการที่สอง แล็ปทอปกลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟังเพลงมากขึ้นเป็น 64% ของคนที่ตอบแบบสำรวจ มากกว่าการฟังเพลงจากระบบสเตอริโอที่มีสัดส่วนเพียง 54% แสดงว่าอุปกรณ์ในการฟังเพลงในอนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลงไป<br />
<br />
ประการที่สาม สมาชิกของบรอดแบนด์ระบุว่าตนจะเปลี่ยนผู้ให้บริการใน 6 เดือนข้างหน้าเพราะเหตุผลว่าไม่พอใจในการให้บริการของผู้ให้บริการรายเดิม ไม่ใช่เพราะความเร็วที่ต่ำกว่าหรือราคาแพงกว่า<br />
<br />
ประการที่สี่ 27% ของคนที่สำรวจใช้ซอฟต์แวร์ VoIP โดยโปรแกรม Skype มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดราว 78%<br />
<br />
ประการที่ห้า การสื่อสารข้ามประเทศโดยใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นมาก เป็น 67% และใช้ส่งเป็นข้อความ text message ในระหว่างการพำนักในต่างประเทศ และการใช้บริการของไวไฟก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ<br />
<br />
ข้อมูลเหล่านี้คงทำให้ผู้บริโภคต้องเร่งเรียนรู้และแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับสมาร์ตโฟนมากขึ้น ไม่ใช่ซื้อมาแบบตามกระแสหรือเท่ๆ อย่างเดียว<br />
<br />
ขณะเดียวกัน นักการตลาดคงต้องหาทางปิดช่องว่างของการรับรู้ของสมาร์ตโฟน ให้เห็นว่ามีความอัจฉริยะ และใช้ประโยชน์อย่างไรให้คุ้มค่าเงินที่ซื้อไป<br />
<br />
<br />
บทความจาก <a href="http://www.manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9550000017981">http://www.manager.co.th/mgrweekly/ViewNews.aspx?NewsID=9550000017981</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7350110370503816649.post-8636288829582715022012-02-05T00:36:00.001+07:002012-02-05T00:37:34.202+07:00ต๊อบ อิทธิพัทธ์ เจ้าของธุรกิจพันล้าน เถ้าแก่น้อย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguPDtDiKsQ6dsQRQfPDLzllDROaNaZB-B98WEqbt9xCRBtYS-yHQOC4KrNxRUSLzRpQESdal81gIUtdDmy2jlGtLle2WpEYaQlu4A8VfYyQhH4k3mxgAx0uNw0oudsvbQZPMcvxQMjG0w/s1600/top_03.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguPDtDiKsQ6dsQRQfPDLzllDROaNaZB-B98WEqbt9xCRBtYS-yHQOC4KrNxRUSLzRpQESdal81gIUtdDmy2jlGtLle2WpEYaQlu4A8VfYyQhH4k3mxgAx0uNw0oudsvbQZPMcvxQMjG0w/s640/top_03.jpg" width="427" /></a></div><br />
หลายคนอาจจะได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง "TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน" กันมาแล้ว ด้วยตัวอย่างที่น่าติดตามต่างจากภาพยนตร์วัยใสทั่วไป เพราะภาพยนตร์ดังกล่าวนั้นมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง!! ของเด็กหนุ่มที่ติดเกมออนไลน์... เรียนหนังสือไม่เก่ง แถมถูกประณามว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน แต่ใครจะรู้ว่าเขาคนนั้นจะกลายมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านเพียง อายุแค่ 23 ปีเท่านั้น (เขาร้อยล้านตอนอายุ 23 แต่ตอนนี้ 26 แล้วอ่า) ! <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1qpNSu9loPHvoYK6cCgadsa2Sib583Hx71SIsZmQv0BWICw8-ZeZJKcJM5_ZtO0wugjlULSeVZ0W3624N724Y2N4KSwaKQIIyHgLiWaEbuRg9pxQ2_rf71kddwQGZICRJU33Re_Rky1M/s1600/24512844_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1qpNSu9loPHvoYK6cCgadsa2Sib583Hx71SIsZmQv0BWICw8-ZeZJKcJM5_ZtO0wugjlULSeVZ0W3624N724Y2N4KSwaKQIIyHgLiWaEbuRg9pxQ2_rf71kddwQGZICRJU33Re_Rky1M/s400/24512844_n.jpg" width="280" /></a></div><br />
นั่นแน่... อยากรู้กันแล้วใช่ไหมว่าเขาคนนั้นคือใคร แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นเศรษฐีได้ในเวลาอันสั้น ไปทำความรู้จักกับ "ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์" เจ้าของธุรกิจสาหร่ายทอดกรอบแบรนด์ "เถ้าแก่น้อย" กันเลย<br />
<br />
ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เศรษฐีร้อยล้านคนนี้ ก่อนหน้านี้เขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่สนใจเรียน ชีวิตของ ต๊อบ มีแต่คำว่า "เกม" เท่านั้น โดยต๊อบเริ่มเล่นเกมออนไลน์ Everquest มาตั้งแต่ ม.4 ถึงขนาดสะสมแต้มจนรวยที่สุดในเซิร์ฟเวอร์ และกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกมดังกล่าว จนมีฝรั่งมาขอซื้อไอเท็มเด็ด ๆ ไอเท็มเจ๋ง ๆ ที่หายากในเกมจากเขา และนั่นก็เป็นการเริ่มต้นสร้างรายได้ของต๊อบ ซึ่งการซื้อขายไอเท็มเกมดังกล่าว บวกกับการที่เป็นผู้ทดสอบระบบเกมในฐานะคนเล่น ก็สร้างรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำ จนมีเงินเก็บเป็นหลักแสนบาทเลยทีเดียว<br />
<br />
<a name='more'></a>ด้วยความที่เป็นเด็กติดเกม ต๊อบ อิทธิพัทธ์ จึงเรียนจบชั้นระดับมัธยมมาได้อย่างยากลำบาก และเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งตอนนั้นนั่นเองเขาก็เริ่มก้าวเข้าสู่ถนนแห่งเส้นทางธุรกิจ พร้อมตั้งใจจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงด้วยการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง <br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmvutCN9_11RfE8sS_VTA1uIWfxRHfQ4dF748aNn3X7MVRavkV1RN6ZFYgR6e27NjrCgex7cDCM0U1JcTjI2-M4fWMoycXMhxShf28GZLJ5RYiBVsFqmJ6xJJaK7ge-tAsSexfJWf4vO8/s1600/top_01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmvutCN9_11RfE8sS_VTA1uIWfxRHfQ4dF748aNn3X7MVRavkV1RN6ZFYgR6e27NjrCgex7cDCM0U1JcTjI2-M4fWMoycXMhxShf28GZLJ5RYiBVsFqmJ6xJJaK7ge-tAsSexfJWf4vO8/s400/top_01.jpg" width="265" /></a></div> <br />
และในช่วงจังหวะที่เกมออนไลน์เริ่มไม่เป็นที่นิยมเหมือนเคย เขาก็หารายได้จากช่องทางอื่น ทั้งขายเครื่องเล่นวีซีดี ดูทำเลเปิดร้านกาแฟหน้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเขาได้ไปเดินงานแฟร์ช่องทางธุรกิจ ซึ่งในงานนั้นมีเฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่นมาออกบู๊ท ด้วยความที่เขาเป็นคนชอบกินเกาลัดอยู่แล้ว เลยสนใจธุรกิจนี้เป็นพิเศษ จึงเข้าไปสอบถามค่าเฟรนไชส์เกาลัดดังกล่าว แต่ทว่าราคาสูงเกินกำลังที่เขามี เลยขอแค่เช่าตู้คั่วเกาลัดเท่านั้น แล้วมาสร้างเฟรนไชส์เป็นของตัวเอง และเมื่อวันที่เขาต้องไปเซ็นสัญญาซื้อขายเกาลัดที่ห้างแห่งหนึ่ง ก่อนออกจากบ้านเขาได้ยินคุณพ่อพูดกับเพื่อนว่า "ลูกอั้วกำลังจะเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว" คำว่าเถ้าแก่น้อยที่ได้ยินตอนนั้นนั่นเอง ที่เป็นที่มาของชื่อ "เถ้าแก่น้อย" สาหร่ายทอดกรอบในปัจจุบัน <br />
<br />
เศรษฐีร้อยล้าน ได้ใช้เวลาเพียงแค่ปีกว่า ๆ ขยายเฟรนไชส์เกาลัดเถ้าแก่น้อย ได้กว่า 30 สาขา และเมื่อเขาเห็นว่า เฟรนไชส์ของเขาขายได้หลายแห่งแล้ว เขาจึงคิดจะทำสินค้าอื่นเพิ่มเติม จึงลองนำอย่างอื่นมาวางขายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น เกาลัด ลูกท้อ ลำไยอบแห้ง และสาหร่าย แต่สินค้าที่ขายดีที่สุดในตอนนั้นกลับไม่ใช่เกาลัด แต่กลายเป็นสาหร่ายทอดกรอบ ซึ่งนั่นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากต่อยอดธุรกิจในการทำสาหร่ายทอดตรา "เถ้าแก่น้อย" อย่างจริงจัง <br />
<br />
หลังจากนั้นเขาก็พยายามศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับสาหร่าย และได้ลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง โดยเริ่มจากบรรจุซองพลาสติกไปฝากตามร้านค้าต่าง ๆ แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย ทั้งสินค้าหมดอายุไว รูปแบบแพ็กเกจจำหน่ายไม่สวย จึงทำให้เขากลับมานั่งคิดอีกครั้งว่า จะทำอย่างไรให้สินค้าเก็บไว้ได้นาน มีแพ็คเกจที่น่าสนใจ และสามารถขายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ได้<br />
<br />
แต่พรสวรรค์ทางการตลาดของเขาก็ได้จุดประกายความคิดอีกครั้ง เขาได้นำกระแสเกาหลี กระแสญี่ปุ่น เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ โดยอยากให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าของ เขาได้ทันทีที่แรกเห็น เขาจึงทำโลโก้เป็นเด็กน่ายิ้ม ดูน่ารัก มีความสุข อีกทั้งถือธงเพื่อให้รู้ว่า ถึงจะเป็นของกินเล่นแต่มีคุณค่าทางอาหารสูง รวมไปถึงเพิ่มรสชาติต่าง ๆ ให้หลากหลาย ตอบรับความต้องการของแต่ละคน<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgVtDb2T1lxfiptBOTghZeoehzczjLLMP7YomuBx__0scmMMPaslnxuhNMcK6z86TPsJSY8TiEIW3n_tFqpTavef-xbYJoIXmzgqceg3N7-kAeUDo3ogt5pjcWEjA9k66MoHreLW1IE63k/s1600/top_02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgVtDb2T1lxfiptBOTghZeoehzczjLLMP7YomuBx__0scmMMPaslnxuhNMcK6z86TPsJSY8TiEIW3n_tFqpTavef-xbYJoIXmzgqceg3N7-kAeUDo3ogt5pjcWEjA9k66MoHreLW1IE63k/s400/top_02.jpg" width="266" /></a></div><br />
และเมื่อเขาได้ปรับปรุงสินค้าเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยไปเสนอแก่ 7-11 อีกครั้ง และจากนั้นก็ได้รับการติดต่อกลับมาในทันทีว่า "ภายใน 3 เดือน สินค้าคุณพร้อมจะวางขายในร้าน 7-11 จำนวน 3,000 สาขาทั่วประเทศ หรือไม่" เมื่อได้ยินดังนั้น คำถามก็ประดังประเดเข้ามาในหัวของเขาว่า เขาต้องทอดสาหร่ายกี่แผ่น ใช้คนทอดกี่คน และจะทำทันหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมีคำถามอยู่เต็มหัวไปหมด แต่เขาก็ตอบกลับ 7-11 ไปเกือบจะทันทีว่า พร้อมครับ!!!<br />
<br />
หลังจากที่ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ตอบตกลงไปแล้ว เขาก็ต้องกับมานั่งกุมขมับ กับปัญหา และสิ่งที่ตามมาทั้งการสร้างโรงงาน เงินทุน แหล่งวัตถุดิบ การนำเข้าเครื่องจักรต่าง ๆ เพื่อผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน พร้อมส่งขายแก่ 7-11 กว่า 3,000 สาขา ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น... เขาจึงเดินหน้าด้วยการเริ่มต้นหาทุนสร้างโรงงาน โดยการไปขอกู้ยืมจากธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา นั่นเป็นเพราะว่า ในตอนนั้นเขามีอายุเพียง 20 ปี เท่านั้น และเมื่อเขากู้เงินไม่ผ่าน เขาจึงยอมตัดใจขายธุรกิจเฟรนไชส์เกาลัดทิ้ง ซึ่งเฟรนไชน์กว่า 30 สาขาดังกล่าว สร้างรายได้ให้เขาเดือนละกว่าล้านบาทเลยทีเดียว แต่กว่าที่เขาจะตัดสินใจขายเฟรนไชส์แรกที่เขาปลุกปั้นมากับมือ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญต่อจิตใจของเขามาก แต่เขาก็ต้องขายด้วยความเสี่ยง เพราะเขาไม่รู้เลยว่า ธุรกิจสาหร่ายนั้น จะดีเท่ากับธุรกิจเกาลัดหรือไม่<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgns3fkJMbwuyFzSXadDUS7nmWqdy4VzfRFBKRAfvqhAajeKjrNXquX1t2ljR87Y5C7vWKjug2atmEap7isfUCZPa3d3DCpXfp1ACEI3rOobgsoplpDkoIiI6QdVNPLIUhyphenhyphen_pk4IwZFckQ/s1600/top_05.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="270" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgns3fkJMbwuyFzSXadDUS7nmWqdy4VzfRFBKRAfvqhAajeKjrNXquX1t2ljR87Y5C7vWKjug2atmEap7isfUCZPa3d3DCpXfp1ACEI3rOobgsoplpDkoIiI6QdVNPLIUhyphenhyphen_pk4IwZFckQ/s400/top_05.jpg" width="400" /></a></div><br />
ในขณะที่ธุรกิจกำลังก้าวหน้า ต๊อบ อิทธิพัทธ์ ได้ตัดสินใจดร๊อปเรียนไว้ตอนปี 1 เพื่อนำเวลามาทำธุรกิจส่วนตัวอย่างเต็มตัว ส่วนทางด้านเงินที่ขายเฟรนไชส์เกาลัด ก็นำมาลงทุนกับสาหร่ายทั้งหมด โดยการสร้างโรงงานผลิตสาหร่ายทอด ซึ่งมีพนักงานก็คือครอบครัวของเขาทุกคน และคนงานอีกเพียงแค่ 6-7 คนเท่านั้น ทุกคนทำงานอย่างหนัก ยิ่งช่วงใกล้ส่งสินค้าให้กับทาง 7-11 ครอบครัวและคนงานของเขา แทบไม่ได้หลับได้นอน ทอดสาหร่าย และบรรจุภัณฑ์ แต่ก็สำเร็จ เขาสามารถบรรทุกสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเต็มคัน ขับไปส่งศูนย์จำหน่าย 7-11 ได้สำเร็จ<br />
<br />
จากนั้นเป็นต้นมา สาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" ก็ทะยานสู่ตลาดวัยรุ่น และผู้บริโภคที่ชื่นชอบสาหร่ายทอดกรอบได้สำเร็จ ส่วน ต๊อบ ก็กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มใหม่ไฟแรง เปลี่ยนสถานะจากเศรษฐีร้อยล้าน กลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้อย่างสำเร็จ<br />
<br />
ส่วนเรื่องการเรียนของ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ นั้น ตอนนี้เขามีวุฒิการศึกษาสูงสุดเพียงแค่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้ลงเรียนอีกครั้งที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งแม้ว่าเขาจะเชื่อว่า ประสบการณ์ไม่ได้มาจากทฤษฎีในห้องเรียน แต่มันมาจากการลงมือปฏิบัติก็ตาม แต่ที่เขาเรียนนั่นก็เพื่ออยากจะให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ และอยากถ่ายรูปรับปริญญาร่วมกับครอบครัวเพียงเท่านั้น...<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN7kAvmL5wb_09IS0gypwp_4mdWEH_GV0-AxUNVdN0jai7FkHeDYTIsd6urzj4Yx5k-J5TWGr_esUiSMBODF4kv6UcGiNhctiC_goCr9sKDLepHXaqvzg9WChQaINVssEDcDo9Zp7RNN0/s1600/top_04.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="285" sda="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN7kAvmL5wb_09IS0gypwp_4mdWEH_GV0-AxUNVdN0jai7FkHeDYTIsd6urzj4Yx5k-J5TWGr_esUiSMBODF4kv6UcGiNhctiC_goCr9sKDLepHXaqvzg9WChQaINVssEDcDo9Zp7RNN0/s400/top_04.jpg" width="400" /></a></div><br />
<strong>ประวัติ ต๊อบ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์</strong><br />
<br />
ชื่อ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์<br />
<br />
ชื่อเดิม ต่อพงศ์ กุลพงษ์วาณิชย์<br />
<br />
ชื่อเล่น ต๊อบ<br />
<br />
อายุ 26 ปี<br />
<br />
<strong>การศึกษา</strong><br />
อนุบาล-ประถมศึกษา โรงเรียนปานะพันธ์วิทยา<br />
<br />
มัธยมศึกษาตอนต้น เซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ เมืองทองธานี<br />
<br />
มัธยมศึกษาตอนปลาย สวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี<br />
<br />
ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยหอการค้า คณะบริหาร (ไม่จบ)<br />
<br />
<strong>ปัจจุบัน</strong><br />
เป็นเจ้าของกิจการสาหร่ายเถ้าแก่น้อย<br />
<br />
<br />
บทความจาก <a href="http://hilight.kapook.com/view/63170">http://hilight.kapook.com/view/63170</a>Sarawutpathttp://www.blogger.com/profile/16280947549577822403noreply@blogger.com0