ดัชนีหุ้นวันที่ 3 ก.ย.53 ปิดที่ 929.90 จุด เพิ่มขึ้น 9.36 จุดยังทำนิวไฮในรอบ 14 ปีได้ต่อ ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขาย 52,546.92 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 583.56 ล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองตลาดสัปดาห์หน้าคาดจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ 920 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 935-940 จุด โดยให้ติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรว่าจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ หากตัวเลขออกมาดีจะส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างประเทศรวมทั้งไทยไปได้ต่อ แต่หากออกมาแย่กว่าคาด ระวังแรงขายกดดัชนี
อย่างไรก็ตาม สัญญาณทางเทคนิคพบว่า ดัชนีหุ้นไทยเข้าเขต "ซื้อมากเกินไป" จึงต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับออกมา
แนะกลยุทธ์การลงทุนให้รอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง และไม่แนะให้เข้าซื้อหุ้นในจังหวะที่ดัชนีปรับขึ้น โดยให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก หรือราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน
ส่วนแนวโน้มระยะกลางและยาว หุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อจากเม็ดเงินไหลเข้า
ปิดท้าย มีความเห็นจากโบรกเกอร์สำนักต่างๆ หลังมีคำสั่งศาลในคดีมาบตาพุด โดย บล.ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำ "ซื้อ" หุ้น PTTCH โดยให้ราคาเป้าหมาย 120 บาท ระบุว่า ผลกระทบกรณีโครงการที่ถูกถอนใบอนุญาต TOC Glycol ซึ่งผลิต MEG 95,000 ตันต่อปี แทบไม่มีผลกระทบต่อ PTTCH ขณะที่คาดว่ากำลังการผลิตใหม่จะเริ่มต้นเดินเครื่องเต็มที่ พร้อมทั้งรับก๊าซเต็มที่จากโรงแยกก๊าซ 6 ประมาณ ม.ค.54 ทำให้กำไรปี 54 โตก้าวกระโดดถึง 104%
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า คำพิพากษาเป็นบวกต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน จึงยังคงแนะซื้อ SCC ให้ราคาเป้าหมาย 330 บาท, PTTCH ให้ เป้าหมาย 135 บาท, PTT เป้าหมาย 325 บาท และ GLOW ให้เป้าหมาย 52 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต แนะซื้อทั้ง 3 บริษัท PTT ให้ราคาเป้าหมาย 375 บาท, PTTCH 133 บาท และ SCC 375 บาท ส่วน บล.เอเซียพลัส ให้ มูลค่าพื้นฐาน PTT ที่ 314.31 บาท ส่วน PTTCH ให้เท่ากับ 120.42 บาท
ด้าน บล.เกียรตินาคิน แนะ "ซื้อ" PTT ให้ราคาเหมาะสมที่ 318 บาท ส่วน PTTCH ให้ราคาเหมาะสม 128 บาท.
หุ้นกระฉูดเด้งรับปลดล็อกมาบตาพุด
ดึงนักลงทุนในประเทศเข้าลงทุนคึกคัก คาด 74 โครงการดีเดย์ใน 2 สัปดาห์ เอ็นจีโอยังคาใจนัดถก 5 ก.ย. ยันเดินหน้ายื่นอุทธรณ์ ...
ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 ก.ย.ว่า ยังคงปรับตัวขึ้นได้ร้อนแรงโดยได้แรงหนุนจากกรณีมาบตาพุด หลังศาลปกครองมีคำสั่งปลดล็อก 74 โครงการ ให้กลับมาดำเนินการต่อได้ มีเพียง 2 โครงการเท่านั้นที่ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ส่งผลให้หุ้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (บมจ.) หรือ PTT, บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (SCC) ต่างปรับตัวขึ้นแรงถ้วนหน้า ดันดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นมาปิดตลาดที่ 929.90 จุด บวก 9.39 จุด มีมูลค่าการซื้อขายทะลัก 52,546.59 ล้านบาท
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงนี้เป็นผลจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เพราะมองว่าประเทศในภูมิภาคนี้รวมทั้งไทยมีศักยภาพในการเติบโตมากกว่าภูมิภาคอื่น ทำให้นักลงทุนในประเทศเข้ามาลงทุนคึกคักตามไปด้วย
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วย รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานศูนย์บริการการลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหามาบตาพุดว่า ได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติภายหลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ให้โครงการที่ไม่เข้าข่ายประเภทกิจการรุนแรงสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งในเบื้องต้นจะมีโครงการลงทุน 74 ราย สามารถเปิดกิจการได้ภายใน 2 สัปดาห์แน่นอน
ทั้งนี้ ในวันที่ 6 ก.ย. นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม ได้เรียกผู้ประกอบการ 76 โครงการ มาประชุมเพื่อรับทราบรายละเอียดของคำพิพากษาของศาลปกครองฯและประกาศประเภท 11 กิจการรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปพิจารณากับโครงการลงทุนของตัวเองเข้าข่ายใน 11 กิจการรุนแรงหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นโครงการที่ไม่ส่งผลกระทบกิจการรุนแรงก็ให้ทำเรื่องไปยังผู้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการ เพื่อขอยกเลิกคำสั่งกระทรวงอุตสาหกรรมที่ระงับกิจการชั่วคราวได้ทันที
ด้านนายสุทธิ อัชฌาศัย แกนนำเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก กล่าวว่า ในวันที่ 5 ก.ย. นี้ จะนัดประชุมกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อเพื่อยื่นอุทธรณ์หลังศาลมีคำพิพากษาออกมา โดยยังยืนยันที่จะสู้คดีโดยยื่นอุทธรณ์แน่นอน แต่ขอกำหนดวันและเวลาอีกครั้ง
ปตท.ประกาศเดินหน้าโครงการมาบตาพุดต่อ
กลุ่มปตท.พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าโครงการมาบตาพุดต่อ หลังศาลปกครองชี้ชัดมี 1 โครงการที่เข้าข่าย 11 ประเภทโครงการรุนแรง
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตของโครงการที่อยู่ในเอกสารท้ายคำฟ้อง ที่เข้าข่าย 11 ประเภทโครงการรุนแรง ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้ยกเลิกการคุ้มครองชั่วคราวสำหรับโครงการอื่นๆ ที่ไม่เข้าข่ายนั้น กลุ่ม ปตท. รับทราบคำพิพากษา และพร้อมนำคำพิพากษาไปปฏิบัติ โดยจะเร่งประสานงานหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนออกใบอนุญาตดำเนินโครงการต่อไป
ทั้งนี้ จากทั้งหมด 25 โครงการของกลุ่ม ปตท. ที่อยู่ท้ายคำฟ้อง มีเพียง 1 โครงการที่เข้าข่าย 11 ประเภทโครงการรุนแรงตามประกาศกระทรวงทรัพยากรฯ คือ โครงการโรงงานผลิตเอทิลีนออกไซด์และเอทิลีนไกลคอล (ส่วนขยาย) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ หรือเอชไอเอ (HIA) ที่จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จครบถ้วนตามกระบวนการที่ กำหนดโดยเร็วที่สุด
ส่วนโครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6 กลุ่ม ปตท. จะประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกใบอนุญาตเดินเครื่อง ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในไม่ช้า ทั้งนี้ หากโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 6 สามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ก็จะสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมชนิดต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงผลิตวัตถุดิบที่เป็นสารตั้งต้นให้กับโรงงาน อุตสาหกรรม ปิโตรเคมี เช่น อีเทน นอกจากนั้นยังสามารถผลิตก๊าซแอลพีจีซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และลดภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศด้วย
นายอรรถพล กล่าวด้วยว่า กลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามมาตรฐานสากล ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด และเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างสรรค์การอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่าง อุตสาหกรรมกับชุมชน เพื่อให้จังหวัดระยอง เป็นตัวอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืนสืบต่อไป
ข่าว ไทยรัฐ
วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขอบคุณครับ
ตอบลบ2choice-mybody.blogspot.com/2011/07/blog-post.html