การลงทุนนั้นก็เหมือนกับการทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ วิธีหรือกระบวนการที่ง่ายกลับให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยากและซับซ้อน
ในภาษาอังกฤษจึงมีคำพูดที่นิยมกันมากว่า “Keep It Simple And Stupid” หรือใช้คำย่อว่า “KISS” แปลเป็นไทยว่า ต้องทำให้มันง่ายและโง่ที่สุด
การลงทุนแบบ KISS นั้นควรจะเป็นอย่างไร? และมันดีจริงหรือ? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอยกหลักการของโปรเฟสเซอร์ Charles D. Ellis นักวิชาการและนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนชื่อดังมาอธิบาย เขาเสนอว่า KISS ในการลงทุนนั้น มีหลักการและวิธีการ 5 ขั้นดังต่อไปนี้
ข้อแรก เก็บออมเงินสม่ำเสมอและเริ่มตั้งแต่อายุน้อย หลักการนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะการเริ่มต้นเร็วนั้น นอกจากจะเพาะนิสัยในการเก็บออมแล้ว การลงทุนจะเริ่มได้เร็วและมีระยะเวลาลงทุนนานกว่าที่เราจะเกษียณอายุ ด้วยพลังของการ "ทบต้น" ของผลตอบแทนที่ได้จะทำให้เม็ดเงินเติบโตเร็วมาก
วิธีที่จะคำนวณว่าเม็ดเงินจะเติบโตไปถึงแค่ไหนนั้น เราสามารถใช้ "สูตร 72" คำนวณได้ สูตรนี้จะบอกว่าเงินเราจะเพิ่มเป็นเท่าตัวต้องใช้เวลากี่ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% ก็ให้เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 ได้ค่าเท่ากับ 7.2 ก็จะได้ว่าเงินของเรา 1 ล้านบาทจะโตเป็น 2 ล้านบาท จะใช้เวลาประมาณ 7.2 ปี
ดังนั้น ถ้าเรามีเวลาลงทุน 14 ปี เงินก็จะโตไปอีกเท่าตัวเป็น 4 ล้านบาท และถ้าลงทุน 21 ปี จะกลายเป็น 8 ล้านบาท ถ้าลงทุน 28 ปี ก็จะกลายเป็น 16 ล้านบาท แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น ระยะเวลาในการลงทุน จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เรารวย
ข้อสอง ใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลในโครงการเพื่อการลงทุนระยะยาวและการเกษียณอายุ ในเมืองไทย ก็คือ การลงทุนในกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ และ LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ทั้งสองกองทุนนั้นเราสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปีของเรา ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลช่วยสนับสนุนหรือเพิ่มเม็ดเงินที่เราออมตามอัตราภาษีที่เราจ่ายประจำปี เช่น ถ้าเราต้องจ่ายภาษีขั้นสุดท้ายที่ 20% เงินที่เราลงทุนใน RMF และ LTF ก็จะได้ภาษีคืนเท่ากับ 20% นี่เท่ากับว่ารัฐบาลช่วยเพิ่มเงินออมให้เราเท่ากับ 20% ในส่วนนี้เมื่อคิดว่ามันจะให้ผลตอบแทนทบต้นเข้าไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เม็ดเงินที่เราจะได้ก็มหาศาลโดยไม่มีความเสี่ยง
ข้อสาม เงินออมทั้งหมดเราจะต้องเอาไปลงทุน โดยการลงทุนของเรานั้นเราจะต้อง "กระจายความเสี่ยง" ให้อยู่ในตราสารการเงินหลายๆ ประเภทที่เหมาะสมกับเรา เช่นต้องมีเงินฝากจำนวนหนึ่ง มีกองทุนพันธบัตร และมีกองทุนหุ้น เป็นต้น โดยสัดส่วนการกระจายนั้น เราอาจจะกำหนดเป็นสูตรที่เราคิดว่าเหมาะสมกับการกล้ารับความเสี่ยงของเรา เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก เราอาจจะลงทุนในกองทุนหุ้น 70% กองทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ 20% และเป็นเงินฝาก 10% เป็นต้น
ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย อาจจะลงในหุ้นเพียง 40% อีก 50% เป็นพันธบัตร ที่เหลืออีก 10% เป็นเงินสดในธนาคารเป็นต้น ในส่วนของการเลือกกองทุนนั้น เราควรลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนีที่คิดค่าจัดการกองทุนในอัตราที่ต่ำเป็นหลัก อย่าไปลงทุนในกองทุนที่พยายามสร้างผลตอบแทนที่เหนือตลาด เพราะสถิติบอกว่ากองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วให้ผลตอบแทนแย่กว่ากองทุนที่อิงดัชนีและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำ
ข้อสี่ เมื่อจัดพอร์ตลงทุนตามสัดส่วนการกระจายการลงทุนแล้ว ทุกสิ้นปีสัดส่วนเงินลงทุนในพอร์ตก็มักจะเปลี่ยนไปเพราะตราสารบางกลุ่มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทำให้เม็ดเงินมากเกินสัดส่วน ดังนั้น เราจะต้องจัดการ Rebalance หรือจัดสัดส่วนการลงทุนใหม่โดยการขายหน่วยลงทุนส่วนที่มีผลตอบแทนมากและสัดส่วนเกินที่กำหนดในตอนต้นปี ไปซื้อหน่วยลงทุนที่มีสัดส่วนน้อยลงแทนเพื่อทำให้สัดส่วนการลงทุนในแต่ละกลุ่มกลับมาอยู่ที่เดิมที่เราตั้งไว้ อย่าเปลี่ยนสัดส่วนเพราะคิดว่ากองทุนแบบหนึ่งกำลังทำผลงานดีหรือแย่กว่าที่คาด
ข้อห้า ยึดมั่นกับหลักการและวิธีการตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่โดยไม่ต้องสนใจภาวะตลาดการเงินที่ผันผวน เช่นเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนักอย่าขายหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้น เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะยังตกหรือเปล่า เช่นเดียวกัน ในช่วงที่หุ้นขึ้นก็อย่าไปซื้อเพิ่ม เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันอาจจะตกก็ได้ การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์ ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น
หลักการทั้งห้าข้อนี้ ดร.เอลลิส บอกว่าเป็นแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ทำแล้วสบายใจและแทบ "ไม่ต้องดูแล" ที่สำคัญมันง่ายมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือ มันต้องการ "วินัย" ที่เข้มงวด และ "อารมณ์" ที่มั่นคง สุดท้าย อาจารย์เอลลิส บอกว่า แผนการเงินนี้ควรที่จะต้องเป็นแผนร่วมของทั้งสามีและภรรยา ทั้งคู่จะต้องเข้าใจและตัดสินใจร่วมกันจึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จ และดังนั้น คำว่า KISS จึงถูกแปลใหม่ว่า Keep It Simple, Sweetheart. แผนการเงินที่ง่าย นะจ๊ะ ที่รัก
ความคิดของผมเองคิดว่า หลักการและวิธีการของโปรเฟสเซอร์ เอลลิส นั้น เป็นวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้องของพนักงานลูกจ้างที่กินเงินเดือนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะศึกษาและลงทุนเอง วิธีนี้เมื่อกำหนดกลยุทธ์ใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารการเงินเรียบร้อยแล้ว ก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีกยกเว้นการปรับพอร์ตในแต่ละปี แต่ผลการลงทุนและเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนั้น จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าหลักการนี้ดีจริงและความมั่นใจที่จะยึดกับหลักการนี้จะเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวันที่เราเกษียณจริงๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยเราน่าจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย และสำหรับบางคนก็อาจจะ รวยไปเลย
โดย : โลกในมุมมองของ Value Investor: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น