วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เล่นหุ้นแบบไหนดีที่สุด

ในเรื่องของการลงทุนหรือเล่นหุ้นนั้น มีเทคนิคหรือวิธีการหลายอย่างที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น ลงทุนแบบ Value หรือเน้นคุณค่า

เล่นหุ้นแบบดูกราฟแนวรับแนวต้าน หรือเล่นหุ้นโดยวิธีการ "ปั่นหุ้น" เป็นต้น คำถาม ก็คือ เล่นหุ้นด้วยวิธีไหนดีที่สุด



ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น ผมคงต้องเติมข้อความในวงเล็บว่า ดีที่สุด (โดยเฉลี่ย) เพราะในแต่ละเทคนิคหรือวิธีการนั้น คนที่ทำได้ดีอาจจะเก่งมากจนทำได้ดีกว่าคนที่เก่งที่สุดในอีกวิธีหนึ่ง แต่โดยเฉลี่ย ซึ่งรวมถึงคนที่ไม่เก่งทั้งหมดด้วยแล้ว วิธีนั้นอาจจะแพ้การลงทุนอีกวิธีหนึ่งที่คนเก่งมากกับคนที่เก่งน้อยได้ผลตอบแทนไม่ต่างกันมากก็ได้

ประเด็นต่อมา ก็คือ ในการที่จะบอกว่าวิธีไหนดีกว่าวิธีอื่นนั้น เราจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อที่จะพิสูจน์ ดังนั้น วิธีการลงทุนหรือเล่นหุ้นบางอย่างที่หาข้อมูลไม่ได้ เช่น การ "ปั่นหุ้น" นั้น เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นวิธีที่ดีแค่ไหนในการทำกำไร แม้ว่าเราจะเชื่อว่าเป็นวิธีที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงสุด อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายและผมไม่แนะนำให้ทำ มันก็เหมือนกับถามว่า วิธีทำงานหาเงินที่ได้เงินมากและเร็วที่สุดคืออะไร ซึ่งคำตอบของเราอาจจะบอกว่า การ "คอร์รัปชัน" แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนสามารถทำได้ เช่นเดียวกับการ "ปั่นหุ้น" ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การตลาดช่วยน้ำท่วม Cause-related Marketing


ข่าวของเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง ที่กำลังเกิดขึ้นนี้นับเป็นอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา

ซึ่งสาเหตุของน้ำท่วมนั้นมีต้นเหตุจากป่าและต้นไม้ถูกทำลาย ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง หน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานได้เข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่และทำให้เราได้เห็นน้ำใจคนไทยที่ร่วมแรงร่วมใจกันส่งความช่วยเหลือซึ่งกันและกันอีกครั้งหนึ่ง

ในทางการตลาด รูปแบบหนึ่งของการตลาดเพื่อช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มักจะกระทำกันอยู่โดยส่วนใหญ่ก็คือ การตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) หรือ การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ (Environmental Marketing, Green Marketing) ที่เน้นไปถึงกิจกรรมสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติ รักษ์ป่า รักโลก และกระทำกันในหลายๆ องค์กรโดยเฉพาะองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คำสาปของผู้ชนะ

"ข่าวดี" ในแวดวงของนักเล่นหุ้นที่พบมากที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือ การที่บริษัท "ชนะ" อะไรบางอย่าง เช่น


 การประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการ ที่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐ เช่น กิจการโทรคมนาคม การชนะประมูลก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และการชนะประมูลหรือแข่งขันซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น เพราะทุกครั้งที่มี "ข่าวดี" ดังกล่าว นักเล่นหุ้นต่างก็จะเข้าซื้อหุ้นไล่ราคาจนขึ้นไปสูง คนคิดว่าการที่บริษัทชนะการประมูล จะทำให้ผลประกอบการในอนาคตของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แต่ความเป็นจริง ก็คือ การชนะประมูลนั้น ไม่ได้แปลว่าบริษัทจะต้องมีกำไรเพิ่มในอนาคต การชนะการประมูลนั้น หมายความเพียงว่า บริษัทจะมีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น มีธุรกิจมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า บริษัทจะต้องมีกำไรเพิ่มขึ้น หรือบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นคุ้มค่ากับเงินที่จะต้องลงทุนเพิ่ม

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

KISS Investing

การลงทุนนั้นก็เหมือนกับการทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ วิธีหรือกระบวนการที่ง่ายกลับให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยากและซับซ้อน

ในภาษาอังกฤษจึงมีคำพูดที่นิยมกันมากว่า “Keep It Simple And Stupid” หรือใช้คำย่อว่า “KISS” แปลเป็นไทยว่า ต้องทำให้มันง่ายและโง่ที่สุด


การลงทุนแบบ KISS นั้นควรจะเป็นอย่างไร? และมันดีจริงหรือ? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอยกหลักการของโปรเฟสเซอร์ Charles D. Ellis นักวิชาการและนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนชื่อดังมาอธิบาย เขาเสนอว่า KISS ในการลงทุนนั้น มีหลักการและวิธีการ 5 ขั้นดังต่อไปนี้

ข้อแรก เก็บออมเงินสม่ำเสมอและเริ่มตั้งแต่อายุน้อย หลักการนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะการเริ่มต้นเร็วนั้น นอกจากจะเพาะนิสัยในการเก็บออมแล้ว การลงทุนจะเริ่มได้เร็วและมีระยะเวลาลงทุนนานกว่าที่เราจะเกษียณอายุ ด้วยพลังของการ "ทบต้น" ของผลตอบแทนที่ได้จะทำให้เม็ดเงินเติบโตเร็วมาก

วิธีที่จะคำนวณว่าเม็ดเงินจะเติบโตไปถึงแค่ไหนนั้น เราสามารถใช้ "สูตร 72" คำนวณได้ สูตรนี้จะบอกว่าเงินเราจะเพิ่มเป็นเท่าตัวต้องใช้เวลากี่ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% ก็ให้เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 ได้ค่าเท่ากับ 7.2 ก็จะได้ว่าเงินของเรา 1 ล้านบาทจะโตเป็น 2 ล้านบาท จะใช้เวลาประมาณ 7.2 ปี

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

Social Networking as Part of IMC


แนวทางการสร้าง Social Networking โดยหลักการของ
  • Instant (ตอบสนองทันที)
  • Interactive (สื่อสารสองทางไปมาตลอดเวลา)
  • Individualization (ตอบสนองระดับบุคคล)
  • Insight (ต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้)
  • Invisible (ต้องทำให้ไม่เห็นเป็นการโฆษณาสินค้าที่ชัดเจนเกินไป)
  • และ Integration (ต้องมีความสอดคล้องกันกับสินค้าจริง)
จากหลักการดังกล่าวมีหลักการอีกสองเกณฑ์ที่ผู้เขียนต้องการเพิ่มเติมเพื่อให้การทำ Social Networking ได้สัมฤทธิผลมากขึ้น หรือเรียกง่ายๆ ว่าอีก 2i ปัจจัยทั้งสองคือ I -Identity ซึ่งในที่นี้ผู้เขียนหมายความว่า Social Networking ที่ทำต้องสามารถสื่อได้ถึง Brand Identity ของตราสินค้าหรือธุรกิจนั้นๆ ได้ ความหมายครอบคลุมไปถึงการเลือกสี การเลือกตัวอักษร หรือแม้กระทั่งการเลือกแนวทางในการพูดต้องสามารถแสดงถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ ชนิดที่ว่าเมื่อเข้าไปใน Social networking ต้องยังคงตอบได้ว่านี่แหละสไตล์ของธนาคารธนชาต ธนาคารออมสิน ซิตี้แบงก์ หรือ เคทีซี

เป็นเจ้าของกิจการด้วย Online Social Networking

ปรากฏการณ์หนึ่งในโลกดิจิทัลที่ถือว่ามาแรงมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา และคาดว่าจะยิ่งทวีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ


นั่นคือ การสร้างเครือข่ายสังคมในโลกอินเทอร์เน็ต หรือ Online Social Networking ที่ถือว่าเป็นการสร้างชุมชนออนไลน์ที่มีความเหนียวแน่น จากการติดต่อสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเสมือนหนึ่งสังคมหรือแม้แต่ครอบครัวเดียวกัน เข้ามาทักทาย พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแม้แต่ทำกิจกรรมสารพัดอย่างผ่านทางออนไลน์ด้วยกัน เรียกว่าขาดกันไม่ได้เลยทีเดียว

แท้จริงแล้ว แนวคิดที่เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้มีมานานแล้ว ตั้งแต่การใช้แชทรูม เว็บบอร์ด เพื่อให้มีผู้ที่สนใจเข้ามาโพสต์แลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น ติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันในโลกไซเบอร์ ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกๆ ของการสร้างเครือข่ายสังคมกันแล้ว แต่เริ่มมีความชัดเจนขึ้นจากการริเริ่มพัฒนา บล็อก (Blog) ที่เป็นเสมือนหนึ่งไดอารี่ออนไลน์ ที่ให้เจ้าของเข้ามาเขียนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ และมีผู้อื่นที่มีความสนใจคล้ายคลึงกัน เข้ามาให้ความเห็นแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง จนสนิทสนมแนบแน่นกันจนเป็นวงสังคมเดียวกัน

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ปันผลคือพื้นฐานหุ้น

หลักการหรือหัวใจของ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ก็คือ การหามูลค่าที่ควรจะเป็นหรือมูลค่า “พื้นฐาน” ของหุ้น


จากนั้นก็ดูว่าราคาหุ้นในตลาดเป็นเท่าไร ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่คำนวณได้ก็ให้ซื้อ ถ้าราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานก็ให้ขาย เพราะนักลงทุนแบบ VI เชื่อว่าในที่สุดราคาหุ้นจะวิ่งเข้าหามูลค่าพื้นฐานเสมอ

คำถามสำคัญมีอยู่ 2 ข้อ นั่นคือ หนึ่ง มูลค่าพื้นฐานคืออะไร มาจากไหน อะไรเป็นตัวกำหนดมูลค่าพื้นฐานของหุ้น พูดง่ายๆ คำนวณมูลค่าพื้นฐานอย่างไร ข้อสอง เมื่อไรเล่าที่ราคาจะวิ่งเข้าหาพื้นฐาน เป็นไปได้ไหมที่ราคาหุ้นอาจจะไม่สะท้อนพื้นฐานเป็นระยะเวลานานมาก เผลอๆ ตลอดไป กลายเป็นหุ้นที่อาจจะ “ถูกตลอดกาล” และถ้าเป็นอย่างนั้น VI จะได้อะไร

คำตอบทั้งสองข้อนั้นเกี่ยวเนื่องกัน นั่นคือ คำตอบของข้อแรกก็จะตอบคำถามของข้อสองได้ คำถามที่ว่ามูลค่าพื้นฐานคืออะไรนั้น ถ้าจะตอบ ก็คือ เป็นมูลค่าปัจจุบันของหุ้นที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้จากบริษัทตลอดไป และผลตอบแทนที่ว่านั้น ก็คือ “ปันผล” ในอนาคตทั้งหมดของบริษัท

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

คุณสมบัติ 8 ประการ ก้าวสู่ความสำเร็จด้านการลงทุน


ในการที่จะเล่นกีฬาให้ชำนาญจนมีความสามารถเป็นที่ยอมรับกัน และจนถึงขนาดชนะได้รางวัลนั้น นอกจากผู้เล่นจะต้องมีทักษะพื้นฐานที่ดีแล้ว ยังต้องฝึกฝนตัวเองอย่างสม่ำเสมออีกด้วย จะเห็นว่าผู้ประสบความสำเร็จและเป็นผู้ชนะมักจะมีสไตล์ในการเล่นที่แตกต่างกัน ไม่มีสไตล์ไหนที่ชนะตลอดหรือแพ้ตลอด

ในการลงทุนก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องพยายามหาสไตล์การเล่นที่เหมาะกับตัวเราและมีความเชื่อมั่นว่าจะทำให้เราชนะในเกมการลงทุน และค่อยๆ พัฒนาจนมีสไตล์ของตนเองที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ใครจะรู้ สไตล์การลงทุนของตัวคุณเองอาจจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในอนาคตก็ได้ นักลงทุนระดับ “ปรมาจารย์” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีคุณสมบัติที่เหมือนๆ กันอยู่ 8 ประการด้วยกัน คือ
 
คุณสมบัติ #1 : มีความรอบรู้ (Breadth)
จากการศึกษาพบว่าผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนมักมีความกระตือรือร้น สนใจเรื่องราวต่างๆ รอบตัว นอกจากข้อมูลซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรงแล้ว พวกเขายังให้ความสนใจกับสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่น George Soros มีความสนใจเรื่องปรัชญาและได้เข้าไปทำกิจกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระดับโลกด้วย นักลงทุนที่ดีต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจที่หลากหลาย ไม่ตีกรอบตัวเองอยู่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะในโลกทุกวันนี้ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันสูงมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีกโลกหนึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ อย่างกว้างขวาง แม้แต่ประเทศที่อยู่ในอีก ซีกโลกหนึ่งก็อาจได้รับผลกระทบอย่างมากและรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง เช่น กรณีวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ที่เกิดกับประเทศไทยปี 2540 นั้นได้ส่งผลสะเทือนต่อระบบการเงินไปทั่วโลก เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

งานประจำของ VI

การที่จะเป็น Value Investor ที่ดีนั้นเราจะต้องทำอะไร? ถ้า VI ไม่ค่อยซื้อขายหุ้นหรือตามราคาหุ้นแล้ว วัน ๆ เขาจะทำอะไร?


คำตอบของผมก็คือ งานของ VI ก็คือ การค้นหาหุ้นที่จะลงทุนและการเพิ่มความสามารถในการเลือกหุ้นและการจัดการการลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดีโดยที่มีความเสี่ยงไม่มาก และต่อไปนี้ก็คือ งานบางอย่างที่ผมคิดว่า VI ที่มุ่งมั่นควรทำเป็นประจำ

เรื่องแรกคือ การหาความรู้เรื่องการลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นแนว Value Investment และวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การอ่านหนังสือการลงทุนที่เขียนโดยนักวิชาการหรือนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จในสายงานของตน หนังสือการลงทุนนั้นมีมากมายมหาศาลยากที่จะอ่านได้หมด ดังนั้น อย่างน้อยเราควรอ่านเดือนละเล่มโดยเฉลี่ย และเนื้อหาของหนังสือนั้นควรจะครอบคลุมกว้างขวางในทุกด้านของทฤษฎีและปรัชญาการลงทุน ข้อแนะนำเพิ่มเติมของผมก็คือ นอกจากหลักการของ Value Investment แล้ว อย่างน้อยเราควรจะต้องอ่านและเข้าใจทฤษฎี “ตลาดที่มีประสิทธิภาพ” หรือ Efficient Market ของนักวิชาการที่บอกว่าการลงทุนให้ได้กำไรมากกว่าปกติในระยะยาวนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ไม่ว่าคุณจะใช้หลักการอะไร เหตุผลก็เพราะมันจะเป็นเครื่องเตือนใจเราตลอดเวลาว่า การลงทุนเป็นเรื่องที่ “ไม่ง่าย” อย่าประมาท

งานประจำอย่างที่สองก็ยังเป็นการอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับการลงทุน เหตุผลก็คือ การลงทุนนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น ๆ อีกมาก ว่าที่จริงควรจะพูดกลับกันนั่นก็คือ สิ่งต่าง ๆ นั้นมีผลกระทบต่อการลงทุน ดังนั้น เราควรจะมีความรอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ซึ่งผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร วิธีของผมก็คือ ผมจะพยายามเรียนรู้เรื่องหรือทฤษฎีหรือปรัชญาสำคัญ ๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ เช่น ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ประวัติศาสตร์ของโลกตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ สงครามและการปฏิวัติครั้งใหญ่ ๆ ของโลก จิตวิทยาและสังคมวิทยาของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลกในยุคต่าง ๆ ทฤษฎีการจัดการต่าง ๆ ทั้งการตลาดการบริหารและการเงินที่เป็น “Break Through” หรือเป็นหนังสือที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ เป็นต้น ผมพบว่ายิ่งอ่านผมก็ยิ่งสนุก แม้จะไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่ามันช่วยในการตัดสินใจลงทุนตรงไหน ลองอ่านดู อย่างน้อยเดือนละเล่มเช่นกัน

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีคิดแบบคนรวย ปรับเปลี่ยนแนวคิดให้รวย

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมคนเราที่อุตส่าห์อดออม ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดจนเอวคอดเอวกิ่ว และไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือยใดๆ พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้ออกดอกออกผล เรียกได้ว่าทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี พยายามปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่ท้ายที่สุดนั้นก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีเสียที ทำไม?? และทำไม??? จะมีวิธีไหนได้บ้างที่จะสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเศรษฐีหรือคนรวยได้บ้างไหม หากคุณคิดแบบ

เราจะพาไปแกะรอยดูว่า บรรดาเศรษฐีตัวจริงเสียงจริงทั้งหลาย เขาคิดและมีมุมมองกันอย่างไร ถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง ที.ฮาร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน : การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งตัวเค้าเองนั้นเชื่อว่าคนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงิน และแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้องกับเงิน ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย แนวความคิดแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร

วิธีคิดแบบคนรวย



ฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต จะเห็นได้ว่าเศรษฐีเมืองเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “เจริญ สิริวัฒนภักดี” หรือ “เฉลียว อยู่วิทยา” ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเป็นเศรษฐีมีเงินพันล้านหมื่นล้าน คนเหล่านี้เริ่มต้นจากศูนย์และด้วยสองมือเปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวยมาก่อนแทบทั้งสิ้น

Jesse Livermore นักเก็งกำไรบันลือโลก

ในโลกของ Value Investor นั้น ทุกคนรู้จักและนับถือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก


แต่ในโลกของนักเก็งกำไรนั้น ชื่อของ Jesse Livermore ได้รับการยอมรับว่าเป็นตำนานของนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนอย่าง Bernard Baruch และ Gerald Loeb ว่าที่จริง บางคนบอกว่าเขาเป็นนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ฉายาของเขาคือ "หมีใหญ่แห่งวอลล์สตรีท" เพราะเขาชอบเก็งกำไรโดยเฉพาะในช่วงตลาด "ขาลง" นั่นคือ เขาจะชอร์ตหุ้นและ/หรือสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดล่วงหน้า ชีวิตและหลักการเก็งกำไรของ ลิเวอร์มอร์นั้นน่าสนใจไม่เฉพาะแต่นักเก็งกำไร Value Investor ก็ควรจะรู้ไว้

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

“FIF ทางเลือกในการลงทุน ยามเงินบาทแข็งค่า”

ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เราได้เห็นนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนให้ไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในมาตรการต่างๆเหล่านั้นก็คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ซึ่งล่าสุดบลจ.หลายแห่งก็พร้อมใจกันประกาศขายกองทุน FIF กองใหม่กันอย่างคึกคัก จากการรวบรวมของ Money Channel เฉพาะที่เสนอขายในช่วงปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน มีมูลค่ารวมกันเกือบ 32,000 ล้านบาท

แม้ว่า FIF ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 80%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ จะเริ่มมีมาเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้ แต่ปัจจุบันกองทุน FIF เป็นที่รู้จักและมีอัตราการเติบโตมากขึ้น หลังจากได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายวงเงินลงทุนต่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อลดแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ขณะเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมา กองทุน FIF เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้ลงทุนมากขึ้น ทั้งจากการที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม หรือ บลจ. ต่าง ๆ มีการประชาสัมพันธ์จากการเสนอขายกองทุน FIF อย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจด้วยความเชื่อที่ว่าการไปลงทุนยังต่างประเทศ นอกจากมีโอกาสจะทำให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนส่งผลให้กองทุน FIF มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับกองทุนประเภทอื่น
 
 

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ้นไทยกระฉูด ปิดสูงสุดในรอบ 14 ปี ลุ้นไปต่อ-เงินไหลเข้า

ดัชนีหุ้นวันที่ 3 ก.ย.53 ปิดที่ 929.90 จุด เพิ่มขึ้น 9.36 จุดยังทำนิวไฮในรอบ 14 ปีได้ต่อ ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขาย 52,546.92 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 583.56 ล้านบาท



ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองตลาดสัปดาห์หน้าคาดจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ 920 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 935-940 จุด โดยให้ติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรว่าจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ หากตัวเลขออกมาดีจะส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างประเทศรวมทั้งไทยไปได้ต่อ แต่หากออกมาแย่กว่าคาด ระวังแรงขายกดดัชนี

อย่างไรก็ตาม สัญญาณทางเทคนิคพบว่า ดัชนีหุ้นไทยเข้าเขต "ซื้อมากเกินไป" จึงต้องระวังแรงขายทำกำไรสลับออกมา

แนะกลยุทธ์การลงทุนให้รอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง และไม่แนะให้เข้าซื้อหุ้นในจังหวะที่ดัชนีปรับขึ้น โดยให้เลือกลงทุนในหุ้นที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก หรือราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

อ่านหนังสือยังไงให้"ฉลาดขึ้น"


"การ์ตูน" --จริงๆอ่านอะไรก็ได้มุมมองทั้งนั้นอยู่ที่เราจะเก็บเอาอะไรมาเป็นแง่คิด... ผมเป็นคนนึงล่ะ ที่บ้าอ่านหนังสือมากๆ (จริงๆผมว่า มีหลายๆคนที่เหมือนผม คือ โรคจิต"กลัวโง่" ประมาณว่าทนไม่ได้ที่จะโง่ ....โดยเฉพาะเรื่องที่ผมสนใจคือ "ธุรกิจ" ---ทำให้เสียเงินเยอะมากไปให้ "Asia Book"

... หลายคนถามว่าทำไมต้องอ่านหนังสือฝรั่ง (กระแดะหรือ??) ..จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น -- แต่ผมมองว่า หนังสือฝรั่งมันมีแง่คิดที่แตกต่างดี (ถ้ารอให้แปลเป็นไทยก็อีก 2 - 3 ปี ) ส่วนหนังสือไทยๆเลย ผมว่า แนวคิดมันไม่ค่อยหลากหลาย...คนไทยอ่านหนังสือน้อย และไม่ค่อยเปิดรับความคิดที่เห็นแย้งกับตัวเอง จึงทำให้ สะท้อนออกมาในหนังสือ และแบบแผนการดำเนินชีวิต ที่แคบและจำกัดอยู่ในกรอบ

เตรียมตัวให้พร้อมกับตลาดหุ้นในยุค Asian Miracle 2 (คนรวยจะจน แต่คนฉลาดจะรวย “New Rich”)

ตลาดหุ้น จะแบ่งออกเป็น ตลาด Bull & Bear Market


Bull Market ก็คือช่วงที่นักลงทุน มองว่าเศรษฐกิจดี และ โอกาสที่หุ้นจะขึ้นมีเยอะ ทำให้ทุกคนกระโดดเข้ามาซื้อหุ้นในตลาด

สิ่งที่น่าสังเกตคือ ตลาดหุ้น ในสภาพ Bull Market จะมีแรงดึงดูดเงินทุนได้อย่างไม่จำกัด (ถ้ามองให้ดี เวลาตลาด Bull มากๆ หุ้นจะวิ่งแรงเหนือกว่า Commodity ใดๆ (รวมถึงทองด้วย…ถ้าใครสังเกตให้ดีเวลาหุ้นขึ้นมากๆ ราคาทองจะขี้เหร่มากๆ) – และนี่ก็คือ พลังของ Bull Market

กลับมามองตลาดในปัจจุบัน ถ้าถามใคร ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่า ตอนนี้เป็น Bull หรือยัง “สรุปเลยคนส่วนใหญ่ใช้ความรู้สึกในการตอบว่า ตลาดมัน Bull แค่ไหน (ซึ่งไร้สาระ)”

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

ตลาดขึ้นอย่าเมาหมัด "จัด Port ให้ถูก"


บทความนี้เขียนขึ้นมาเตือนสติคนเมาหมัดเลยครับ ..ช่วงนี้มีคนถามผมเยอะมาก ว่าจะขายหรือไม่ขาย ซื้อหรือไม่ "เอาอย่างนี้ผมขออธิบายชัดๆ" คือ อย่างแรกคุณต้องเข้าใจหุ้น กลุ่มที่คุณถืออยู่ก่อนว่าอยู่ใน Category ไหน

เริ่มจากแบ่ง Category จะมีคร่าวๆดังนี้

1. "หุ้นกลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" (กลุ่มนี้ของพวกเล่นยาวๆ ..ผมนี่แหละซื้อหุ้นแบบนี้ อิ อิ) คือ เป็นหุ้นที่พื้นฐานดี ปันผลดี เป็นหุ้นใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับตลาดขาขึ้นในตอนนี้ สู้ไม่ได้ ผมให้ชื่อมันว่า "กลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" แต่ข้อดีของกลุ่มนี้ คือ มันสามารถต้านทานตลาดตกต่ำได้ เพราะถ้าเกิดตลาดไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนคาดกัน หุ้นพวกนี้ก็จะตกตาม แต่จุดดี คือ หุ้นยังคงได้ปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งยังไงก็ดีกว่าฝากเอาไว้ในธนาคาร(ซึ่งจุดนั้นคุณไม่ได้อะไรเลย แถมโดน Inflation กัดกินให้มูลค่าลดลงทุกปี ในอัตราเร่ง)

2. "หุ้นกลุ่มขวัญใจนักปั่นมีวินัย" (กลุ่มนี้เป็นหุ้นที่กำลังคึกคัด กำไรกันอู่ฟู่ในขณะนี้..ผมก็เล่นกลุ่มนี้บ้างเล็กน้อยของ Port) คือ เป็นหุ้นเล็กที่พื้นฐานดี (ตั้งแต่ปี 97 ราคาหุ้นยังไม่เคยลืมตาอ้าปากอีกเลย แต่เนื่องจากกิจการได้ปรับตัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเปลี่ยนตัวเองกลับมาเป็นกิจการที่ดี จากนั้นก็ปันผลสม่ำเสมอ (สังเกตได้จากให้ Dividend Yield ที่ดี แต่ P/BV ค่อนข้างต่ำ) แต่โดยปกติหุ้นพวกนี้จะไม่ค่อยมีสภาพคล่อง ..สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีคนกลุ่มนึง เราให้ชื่อว่า "นักปั่นมีวินัย" กระโดดเข้าในตลาด (ซึ่งคนกลุ่มนี้ อาจจะเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่ง ต่อกิจการนั้นๆ หรือไม่ อันนี้ยังเป็นข้อกังขา เพราะเดิมหุ้นไม่มีสภาพคล่อง แต่ถ้าตอนนี้มี มันแสดงถึงจุดเชื่อมโยงต่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของกิจการในทางใดทางหนึ่ง "ขาใหญ่อย่ามาเตะผมล่ะ ผมแค่ให้ความรู้ครับ อิ อิ") --- หุ้นพวกนี้ ตอนนี้ก็จะวิ่งขึ้นมาค่อนข้างแรง กำไรกันอู่ฟู่ แต่หลังจากวิ่งขึ้นมาแล้วก็จะสังเกตเห็นได้ว่า ตอนนี้หุ้นเหล่านี้กลับมามีสภาพคล่องที่ดีขึ้น (ส่วน Dividend Yield กับ P/BV จะแย่ลง) .."วิธีการสังเกตหุ้นเหล่านี้คือ คุณย้อนไปดู History ของการซื้อขาย ว่าถ้าในอดีตไร้สภาพคล่อง แต่ตอนนี้มันบูม ..คุณเดาได้เลยว่าหุ้นนั้น เป็นหนึ่งใน Category นี้ครับ

3. "หุ้นบ้า" (กลุ่มนี้เป็นหุ้นไร้พื้นฐาน บริษัทแย่ยังไง ก็แย่เหมือนเดิม ปันผลก็ไม่เคยมี ) ..แต่มีอย่างเดียวที่มี คือ "มีข่าวดี" (ซึ่งข่าวดี ที่ว่านี้) -- มันมักจะเป็นข่าวลวง ...ที่หนึ่ง อาจจะยังไม่เกิดขึ้น(หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย!!) สอง ข่าวนั้นยังไม่มีผลต่อกิจการ และสาม ข่าวนั้น ทำให้ราคาหุ้นขึ้นอย่างบ้าคลั้ง ผนวกกับ Volume ในการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างบ้าคลั่งพอๆกัน "หุ้นพวกนี้คุณเล่นแล้วรวยได้เพียงชั่วข้ามคืน ..แต่ก็มีโอกาสจนทันทีในค่ำคืนถัดมา อิ อิ

ณ วันนี้ตลาดวิ่งขึ้นมาแตะ 900 จุด นำโด่งมาด้วย อันดับหนึ่ง "หุ้นบ้า" อันดับสอง "หุ้นกลุ่มขวัญใจนักปั่นมีวินัย" และลั้งท้ายคือ ขึ้นมาเบาๆ แบบขี้เหร่ๆ (แต่ยังไงก็เท่ห์กว่าเงินฝากวะ) "หุ้นกลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" ...อ่าฮ้า!!

ดังนั้นก่อนคุณจะตัดสินใจทำอะไร ให้หุ้นเข้าใจก่อนว่าหุ้นที่คุณถืออยู่ หรือ กำลังจะซื้อ ว่ามันจัดอยู่ใน Category ใด .."เมื่อจัดได้แล้ว คุณก็จะเข้าใจเองว่า คุณควรจะทำอย่างไรเมื่อตลาดวิ่งมาถึงตรงนี้"

อย่าง "หุ้นบ้า" ถ้าคุณกำไรแล้ว คุณก็รีบโกยได้แล้ว ไม่ใช่อยู่ลอยจนติดดอย ..ส่วนหุ้น "หุ้นกลุ่มขวัญใจนักปั่นมีวินัย" ก็ให้พิจารณาเองว่า ถ้าขายตอนนี้แล้วพอใจในกำไรก็ขายไป แต่ถ้าคิดว่าอยากถือต่อ เพราะปันผลดี ไม่รู้จะเอาเงินมาทำอะไรเมื่อขายแล้ว ก็อยู่ลุ้นต่อไป ..ส่วนหุ้น "หุ้นกลุ่มลูกเป็ดขี้เหร่" ก็ควรถือรับปันผลต่อไป เพราะหุ้นคุณยังไม่ได้วิ่งเลย (ที่ตลาดขึ้นมาเที่ยวนี้มันไม่ใช่โอกาสของคุณเลย ..เพราะราคาที่วิ่งมาเพียงน้อยนิดในขณะนี้ ผมมองว่า "ขนาดใครอยากซื้อเพิ่ม ผมยังว่ามันไม่แพงเลย")

เอาเป็นว่าอย่า (งง) ...แบ่งกลุ่มให้ถูก แล้วคุณจะเข้าใจสิ่งที่คุณถือมากขึ้นครับ!!
 
 
เขียนโดย pawawit

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คำพูดอมตะ


ลองมาดูว่ามีคำพูดที่ได้รับการกล่าวขวัญถึง และใช้อ้างอิงจนกลายเป็นคำพูดคลาสสิกหรือเป็นคำพูดอมตะที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอะไรบ้าง

คำพูดแรกคงต้องยกให้เป็นของเบน เกรแฮม ในฐานะที่เป็น "บิดา" ของการวิเคราะห์การลงทุนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ "ตลาดหุ้นในระยะสั้นเป็นเสมือนเครื่องลงคะแนน แต่ในระยะยาวเป็นเสมือนเครื่องชั่ง" ความหมาย ก็คือ ในระยะสั้นๆ นั้น ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุน ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่ามันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง ราคาก็จะขึ้นตามการ "ลงคะแนน" ของนักลงทุน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทว่ามันจะมีกำไรมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีกำไรมากหรือเทียบกับว่ามีน้ำหนักมาก ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้น

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Mark Mobius

Mark Mobius กูรูนักลงทุนเก็งหุ้นตลาดเกิดใหม่อาจพุ่งอีก 40%


ตลาดหุ้นแผ่ว ขณะน้ำมันบวกสวนหลังตัวเลขสต็อกลด

ประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนฉุดหุ้นในกลุ่มธนาคารและ property ในตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ นำโดย ดัชนีนิคเคอิของญี่ปุ่นที่เจอกับกระแสการ downgrade หุ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มเติมจากปัจจัยในเรื่องการเพิ่มทุน ความกังวลส่วนหนึ่งเริ่มจากบริษัทที่ชื่อว่า Tokyo Tatemono มีแผนที่จะขายหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 45,600 ล้านเยน ในขณะเดียวกัน ทางโบรกเกอร์ อย่าง JPMorgan Chase ก็ได้ปรับลดคำแนะนำการลงทุนในหุ้นตัวนี้ไปพร้อมๆ กันด้วย

ข่าวเพิ่มทุนก็เปรียบเสมือนการจุดประกายให้เกิดความกังวลในเรื่องมูลค่าหุ้นที่จะลดลง ภายหลังจากการออกขายหุ้นสิ้นสุดลง หรือที่เรียกว่า Dilution effect ซึ่งอาจจะมีอีกหลายบริษัทที่จะประกาศแผนในแบบเดียวกันนี้ตามมา

REBALANCING “เทคนิค ซื้อถูก ขายแพง”

Portfolio Rebalancing Technique

เนื่องจากมีผู้สอบถามหลายท่าน และรูปเดิมในบทความมองไม่เห็น ผมจึงทำการ update ข้อมูลให้เป็นปัจจุับันอีกครั้งครับ

“หุ้นช่วงนี้ลงมาเยอะเลย อย่าเพิ่งซื้อ นักวิเคราะห์กำลังจะปรับประมาณการปีนี้ลงอีก”

“ช่วงนี้หุ้นเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว เริ่มมีความน่าลงทุน” “ปีที่แล้วขาดทุนไปเยอะเลย คงหยุดเล่นไปอีกซักพัก”

ผม มักได้ยินประโยคเหล่านี้จากเพื่อน ๆ ที่ลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งผมมองว่าเป็นการสะท้อนพฤติกรรมการมองไปข้างหลัง เพื่อกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบัน แต่บ่อยครั้งกลับไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทฤษฎีเล่นหุ้นของนักลงทุน

ผมเรียนจบปริญญาเอกทางด้านการเงินในสาขาการลงทุน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการเงินต่างๆ มากมาย


ทฤษฎีเหล่านั้น แน่นอน ก่อนที่จะเป็นที่ยอมรับต้องได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงโดยใช้ตัวเลขทางสถิติ แต่พอมาเป็นนักปฏิบัติ เป็นนักลงทุนจริงๆ ผมก็พบว่า ยังมีทฤษฎีอีกมากมาย ที่มีการพูดกันโดยที่ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีการใช้สถิติ แต่เป็นเรื่องที่มาจากประสบการณ์ของคนในวงการที่พูดแล้วมีคนเห็นด้วย และเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริง ผมเองเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ และอาจจะเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงนำเสนอทฤษฎีการลงทุนสักสองเรื่องดังต่อไปนี้

ทฤษฎีแรก คือ ทฤษฎี "งานคอกเทล" ซึ่งเสนอโดย ปีเตอร์ ลินช์ ทฤษฎีนี้บอกว่าภาวะหรือดัชนีตลาดหุ้นนั้น สามารถทำนายได้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงแบบคอกเทลที่ตัวเขา ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนรวมจะประสบ นั่นคือ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาจารย์ของผม : ชาร์ลี มังเจอร์


ชาร์ลียังคงรวบรวมและวิจัยความล้มเหลวของบุคคล ธุรกิจ รัฐบาล และการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ

จากนั้นจึงเรียบเรียงสาเหตุเพื่อนำไปสู่รายการเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง ด้วยวิธีนี้เขาสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตได้

ชาร์ลีมีความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีขีดจำกัด เขามีความกระตือรือร้นและมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์อย่างสูง สำหรับเขาแล้วทุกปัญหาสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง ในมุมมองเขา ทุกสิ่งในจักรวาลมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเพียงแค่เรียงร้อยความรู้เหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้เขาอุทิศในการศึกษาทุกทฤษฎีที่สำคัญ และสร้างพื้นฐานขึ้นมาเรียกว่า "ปรัชญาของคำพูด" (Worldly Wisdom) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจและลงทุน

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

George Soros กับมุมมองที่ไม่มีใครเข้าใจ!!

พ่อมดทางการเงินนาม George Soros ผู้ล้ม Bank of England และทำลายค่าเงินบาท ทั้งหมดนี้หลายคนมองว่าเป็นความผิดของ Soros แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้น ..ไม่มีใครในโลกหรอกครับ ที่มีพลังพอที่จะทำลายล้างได้ "บ้าบอขนาดนั้น"..จริงๆ Soros เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นต่างหาก!!

หลายครั้งที่ Soros พยายามเสนอแนวคิดของ "Reflexivity"( Soros เขียนเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครอ่านแล้วเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะ ผมว่า Soros เองก็ยัง งง อยู่ว่าแนวคิดที่เสนอมันคือ ทฤษฎีหรือไม่..เฮอะ ๆๆ)--ผมว่าจริงๆมันไม่ใช่ทฤษฏีนะ..ว่าแต่จะเป็นไม่เป็น ก็ไม่เกี่ยวกับเรา --เอาเป็นว่า "เรามาทำความเข้าใจ แนวคิดเงิน Billions อันนี้กันดีกว่าครับ!!"

กฎการลงทุนของ Jim Rogers

กฎการลงทุนของ Jim Rogers : พรชัย รัตนนนทชัยสุข


ข้อ 1. ทำการวิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเองเสมอ และอย่าไปกังวล หากคุณคิดไม่เหมือนคนอื่นๆ

“ผมเรียนรู้ตั้งแต่ในช่วงแรกๆที่ผมลงทุนว่า หากคุณอ่านรายงานประจำปี คุณได้ทำการบ้านมากกว่านักลงทุน 90 % ในตลาดแล้ว หากคุณอ่านหมายเหตุประกอบงบการเงินด้วย คุณได้ทำการบ้านมากกว่านักลงทุน 95 % ในตลาด และถ้าหากคุณนั่งลงทำ spread sheet ด้วยแล้วล่ะก็ คุณได้ทำการบ้านมากกว่านักลงทุน 98 % ในตลาดเลยทีเดียว”

(การทำ spread sheet ของ Jim Rogers ก็คือ การวิเคราะห์และการคาดการณ์ตัวเลขและแนวโน้มของตัวเลขที่สำคัญๆอย่าง profit margins , roe , receivable , inventory และอื่นๆ)

“หากคุณวิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเอง มันจะมีความหมายกับคุณมากขึ้น แม้ว่าในบางครั้งมันอาจจะเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่คุณก็จะซึมซับกับมัน”

Bill Gross

ชื่อของ Bill Gross ในแวดวงนักลงทุนของไทยคงมีคนรู้จักน้อย แต่ในสหรัฐ เขาเป็น "มือหนึ่ง" ด้านการลงทุนในตลาดเงินและตราสารหนี้



กองทุน PIMCO หรือ Pacific Investment Management CO. ที่เขาช่วยก่อตั้งขึ้น กลายเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

Bill Gross ต้องดูแลรับผิดชอบบริหารเงินกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 6 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลไทยหลายเท่า มีการทำโพลล์เมื่อเร็วๆ นี้ในแวดวงของนักการเงินพบว่า Bill Gross เป็นรองเพียง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เท่านั้นในฐานะที่เป็นคนที่สามารถคาดการณ์ และวิเคราะห์ภาวะตลาดการเงินในโลกได้แม่นยำที่สุด

ผมคงไม่พูดถึงกลยุทธ์การลงทุนในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ของ Bill Gross เหตุผลก็คือ ผมไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร

นอกจากนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการดูภาพใหญ่ หรือภาพ MACRO ในภาษาทางเศรษฐศาสตร์ ถ้ามองภาพใหญ่ออก การซื้อขายพันธบัตร หรือตราสารหนี้ก็ทำได้ไม่ยาก เพราะสูตรทางคณิตศาสตร์ จะบอกให้รู้ว่า ราคาของพันธบัตรจะวิ่งไปทางไหน

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ตัวอย่างที่เศรษฐีไทย ควรจะเลียนแบบอย่างยิ่ง

อภิมหาเศรษฐีอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานและซีอีโอของบริษัทบริหารหุ้น Berkshire Hathaway เคยประกาศว่า เขาจะบริจาค 99% ของทรัพย์สินส่วนตัวให้กับกิจกรรมสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ครับ ผมอ้างตัวเลขไม่ผิดครับ ร้อยละ 99 ครับ

บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ ได้ทุ่มเวลาสิบปีที่ผ่านมา บริหารมูลนิธิที่มีชื่อเขากับภรรยา Bill & Melinda Gates Foundation อย่างเอาจริงเอาจัง



เงินบริจาคที่เขาและภรรยาบริจาคเป็นกองทุนหลักอยู่ที่ 33.5 พันล้านดอลลาร์ (เป็นเงินไทยก็ไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านล้านบาท) เพื่อส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เช่น วิจัยหาทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่คนส่วนใหญ่ในแอฟริกายังต้องตาย เพราะไม่มีหนทางป้องกันและรักษา

หากจะบอกว่ามูลนิธิของบิล เกตส์ แห่งนี้ ต้องถือว่าใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลที่สุดของโลก ก็คงไม่เกินเลยความจริงนัก

ที่สำคัญกว่านั้น คือ เขาไม่ได้ทำตัวเหมือนมหาเศรษฐีคนอื่น ที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลเพียงเพื่อเป็นข่าวหรือได้ชื่อว่าเป็น “เศรษฐีใจบุญ” หรือเพื่อให้สัมภาษณ์ว่า “ผมต้องการจะคืนกำไรให้กับสังคม” แล้วก็ให้คนอื่นทำงานไปโดยที่ตัวเองไม่ได้สนใจกับกิจกรรมเหล่านั้นมากมายนัก

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Twitter Marketing ง่ายๆ แค่ใช้ไอเดียสดใหม่

ทวิตเตอร์ (twitter.com) ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกโซเชียลมีเดียเช่นกัน


ทวิตเตอร์เป็นเว็บไซต์ที่จัดอยู่ในประเภทไมโครบล็อก (Micro Blog) เพราะความที่ตัวทวิตเตอร์พัฒนามาให้ใส่ตัวอักษรได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษรในแต่ละข้อความ


ข้อจำกัดที่สามารถเขียนตัวอักษรได้จำนวนน้อยนั่นเอง มันเอื้อประโยชน์ให้ผู้ใช้ได้สามารถกลับมาเขียนได้บ่อยครั้งมากขึ้นจนระยะหลังมานี้ คนไทยมากหน้าหลายตาต่างติดตามข่าวสารผ่านทวิตเตอร์กันเป็นหลัก

สิ่งที่ทวิตเตอร์สร้างมาสามารถนำมาทำการตลาดได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร เพราะนอกจากแค่สร้างขึ้นมาแล้ว เรายังต้องทำให้มันน่าสนใจอีกด้วย โดยเราสามารถใส่ไอเดียใหม่ให้กับทวิตเตอร์ของเราเอง

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วอร์เรน บัฟเฟตลดอายุพันธบัตรในพอร์ตลงทุนลง หลังเก็งดอกเบี้ย-เงินเฟ้อพุ่ง

วอร์เรน บัฟเฟตลดอายุพันธบัตรในพอร์ตลงทุนลง หลังเก็งดอกเบี้ย-เงินเฟ้อพุ่ง



ความกังวลว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นส่งผลให้บริษัทด้านการลงทุนของมหาเศรษฐีชื่อดังต้องปรับลดอายุพันธบัตร (Duration) ที่มีอยู่ในพอร์ตลง

เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ที่เป็นบริษัทของกูรูนักลงทุนชื่อดัง อย่างวอร์เรน บัฟเฟต (Warren Buffet) เปิดเผยถึงอายุพันธบัตรที่ตนถืออยู่ ท่ามกลางความเป็นห่วงเรื่องการใช้จ่ายภายใต้งบประมาณขาดดุลจะเป็นตัวเร่งให้อัตราเงินเฟ้อถีบตัวสูงขึ้น

บริษัทที่มีฐานอยู่ในเมือง Omaha จากรัฐ Nebraska ระบุในเอกสาร filing ว่า ตราสารที่ประกอบไปด้วยพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรเอกชน รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ และมีกำหนดครบชำระภายในหนึ่งปีหรือน้อยกว่า คิดเป็นสัดส่วน 21% ของพอร์ตรวม ณ สิ้นไตรมาส 2/53 โดยเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจาก 16% ณ สิ้นไตรมาส 2/52

นักวิเคราะห์รายหนึ่งมองว่า คงเป็นเพราะ Buffet อาจเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่หลายๆ คนคาดการณ์ไว้

มหาเศรษฐีนักลงทุนวัย 79 ผู้นี้ เคยพูดไว้กับสภาคองเกรสเมื่อปีที่แล้วว่า ภาครัฐควรดูแลเรื่องภาวะเงินเฟ้อไม่ให้สร้างปัญหาเมื่อเศรษฐกิจของประเทศกลับไปมีอัตราการเติบโตได้ดังเดิม ซึ่งก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำสิ่งที่เขาเคยเขียนลงในคอลัมน์ของ the New York Times ว่า รัฐบาลควรต้องระมัดระวังในการใช้มาตรการอัดฉีดเงินหลังจากเกิดวิกฤติในปี 2551

บัฟเฟตบอกว่า เงินส่วนเกินที่เพิ่มเข้ามาในระบบ ในที่สุดจะไปเพิ่มอำนาจการซื้อมากเกินควรจนสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจโดยรวม

รัฐบาลของประธานาธิบดี บารัค โอบามา คาดการณ์ว่ายอดการขาดดุลงบประมาณในปีนี้จะอยู่ที่ 1.47 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งหากนับตั้งแต่สิ้นปี 2550 รัฐบาลได้กู้เงินโดยผ่านการออกพันธบัตรเพื่อมาใช้พยุงเศรษฐกิจจำนวนถึง 8.18 ล้านล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นถึง 80% แล้ว
 
 
(Money Channel)

Unique Marketing "น็อกลูกค้าด้วยการตลาดแบบ SME"

หมดเวลาแล้วกับการทำตลาดแบบเดิมๆ ผู้ประกอบการ SME ยุคใหม่ต้องรู้จักฉีกกฎ หนีออกมาจากกรอบเก่าๆ โดยที่ไม่ต้องยึดตามทฤษฎีในตำรา หรือเดินตามเงาองค์กรยักษ์ใหญ่ กลยุทธ์ประเภท ME Too Strategy ‘เขาทำอะไร เราทำแบบนั้น’ คงถึงเวลาที่จะต้องโยนทิ้งลงถังขยะได้แล้ว เพราะถ้ามัวแต่ทำเช่นนั้น คุณจะไม่มีวันเป็น ‘ผู้ชนะ’ ได้เลย


Unique Marketing หรือ ‘การตลาดแบบเฉพาะตัว’ การตลาดยุคใหม่ที่จะไม่ต้องมีรูปแบบตายตัว ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร คุณสามารถที่จะดีไซน์การตลาดในแบบตัวเองได้ เพื่อสร้างความแตกต่างขึ้นมา ซึ่งจุดกำเนิดของการสร้างการตลาดในแบบเฉพาะตัวนี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ ‘วิธีคิด’ ของตัวผู้ประกอบการเองว่าจะสร้างสรรค์การตลาดในแบบของตัวเองอย่างไร เพื่อให้โดนความต้องการและสามารถมัดใจลูกค้าได้อยู่หมัด

เพื่อเป็นทางลัดให้การครีเอตนี้ง่ายขึ้น SME Thailand จึงได้รวบรวมแนวทางการตลาดยุคใหม่ จากผู้เชี่ยวชาญและนักการตลาดชื่อดัง มาจุดประกายให้ผู้ประกอบการ SME ได้มองเห็นโอกาสทางการตลาดที่ต่างไปจากเดิม และสามารถหยิบนำไปประยุกต์ใช้ หรือจะดีไซน์ให้แตกต่างออกไป เพื่อสร้าง Unique Marketing ในแบบฉบับของตัวคุณเอง...ก็ทำได้เช่นกัน!!!

Common Sense Investing (การลงทุนอันสามัญ)


“ถ้าการลงทุนต้องใช้พีชคณิต ผมคงต้องเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์เหมือนเดิม” นั่นเป็นคำพูดเล่นเชิงถ่อมตัวของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยอดนักลงทุนแห่งยุค เพื่อที่จะให้ข้อเท็จจริงอันสำคัญว่า การลงทุนไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนนัก แต่เป็นสิ่งซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากเย็นด้วยสามัญสำนึกของคนธรรมดาๆทั่วไปได้ทุกคน... วันนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องสามัญสำนึกธรรมดาๆของคนธรรมดาๆว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งของชีวิตได้ โดยข้อคิดส่วนใหญ่มาจากหนังสือ The Little Book of Commonsense Investing หนังสือเล่มล่าสุดของ จอห์น โบเกิล ผู้ก่อตั้ง แวนการ์ด บริษัทจัดการลงทุนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา

องค์ประกอบของผลตอบแทน

ผลตอบแทนจากการลงทุนแบ่งออกเป็นองค์ประกอบใหญ่ๆได้สองส่วน
คือ 1) ส่วนของการลงทุน (investment return หรือ enterprise return) ซึ่งประกอบด้วยเงินปันผลและการเติบโตของความสามารถในการทำกำไร

ทำเงินบนโลกไอที (40) : ปลูกผักให้งอกเงิน

ในวิกฤติยังมีโอกาส สงครามยังสร้างวีรบุรุษ ฉะนั้นในยุคที่เกมปลูกผัก ทำฟาร์ม และเกมหรรษาอื่นๆบนเว็บเครือข่ายสังคมได้รับความนิยมถ้วนหน้า ก็ย่อมมีโอกาสงามสำหรับธุรกิจแฝงอยู่


***สร้างรายได้ให้ธุรกิจคุณด้วย Social Games

ในตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เกม ปลูกผัก, มาเฟีย วอร์, เรสเตอรอง ซิตี้ หรือเพ็ด โซไซตี้แล้ว เกมทั้งหลายเหล่านี้ เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า เกมเครือข่ายสังคม หรือ Social Games (แต่หลาย ๆ คนคงเรียกเกมเหล่านี้ว่าเกมเฟสบุ๊กไปแล้ว) เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมและสามารถสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งอุปกรณ์พกพาหลากชนิดต่างต้องการเกมเหล่านี้ให้สามารถมาเล่นบนเครื่องตัวเองได้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เจ้าดังค่ายผลไม้อย่างแอปเปิล

อะไรคือ Social Games

Social Games นั้นเป็นเกมที่พัฒนาจากการเกมออนไลน์หลายรูปแบบบนการมาหรือแจ้งเกิดของเว็บเครือข่ายสังคม เกมเหล่านี้จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงย้ายจากการอยู่บนอินเทอร์เน็ต เข้าไปอยู่บนแพลตฟอร์มเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเช่น Facebook ซึ่งมีผู้ใช้ในปัจจุบันมากกว่า 500 ล้านคนแล้ว

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 เครื่องมือตลาดที่ (SMEs) ควรรู้


โดยในช่วงระยะเวลา 10ปีที่ผ่านมานั้น เครื่องมือการตลาดที่เข้ามาเป็น ‘ตัวช่วย’ให้ประสบความสำเร็จ หลักๆมี 10อย่างด้วยกันที่ควรรู้ ซึ่งแต่ละอย่างมีข้อดีแตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับการทำธุรกิจนั้นๆ ลองดูซิว่าเครื่องมือไหนสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณมากที่สุด

1. Digital marketing ได้เข้ามามีบาทบาทกับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอายุตั้งแต่ Per-teen ก่อน 13 ปี จนถึงวัยTeen ที่มีอายุ 13-18ปี เพราะ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของพวกเขาไปเสียแล้ว ดังนั้นกิจกรรมออนไลน์ผ่านตามเวบไซต์ มือถือ ในรูปแบบแคมเปญต่างๆมักจะได้รับความสนใจจากกลุ่มวัยรุ่น ยกตัวอย่างเช่น ไอศกรีมวอลล์ ออกแคมเปญกระตุ้นยอดขายผ่านเวบไซต์ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ของกลุ่มเป้าหมาย

2. Word of Mouth เป็นกลยุทธ์ที่ใช้งบประมาณน้อย เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างกระแสความตื่นเต้นและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับสินค้าหรือบริการได้ดีไม่แพ้สื่อหลักอย่างโทรทัศน์วิทยุ ซึ่งวิธีนี้จะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอเรื่องราวให้เป็นที่สนใจกับสื่อมวลชน เชื่อว่า หลายคนคงรู้จัก ตัน โออิชิ กันเป็นอย่างดีในฐานะพรีเซ็นเตอร์ เพราะวิธีการนำเสนอสินค้า แคมเปญแต่ละครั้ง ที่แปลกและแตกต่างชนิดที่ไม่ต้องเสียเงินจ้างดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์
 
3. Sport Marketing เป็นการเชื่อมต่อ ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคให้มีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น โดยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีกับตัวแบรนด์ (Brand Experience) ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้กระทั้งรถกระบะวีโก้ ของค่ายโตโยต้า ยังลงโดดลงมาทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกีฬาตระกร้อ ภายใต้ชื่อ วีโก้ คัพ เป็นครั้งแรก เพื่อต้องการใกล้ชิดกับกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการที่แข่งโฆษณาประสิทธิภาพเครื่องยนต์ เท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จดหมายน้อยฉบับล่าสุดของบัฟเฟต | ตอนสุดท้าย: ว่าด้วยการประชุมประจำปี


...ในมุมมองของผม ผู้บริหารสถาบันการเงินใหญ่ๆ นั้นจะต้องโดนกำจัดจุดอ่อนหรือลาออกไป เมื่อเขาไม่สามารถที่จะยืนยันถึงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ได้ในการควบคุมความเสี่ยง หรือหากเขานั้นไม่สามารถดูแลงานนั้นได้ เขาก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหางานใหม่...

และถ้าเขาล้มเหลว (ซึ่งต้องเกี่ยวพันกับที่รัฐบาลจะต้องใส่เงินหรือค้ำประกันให้ทันที) ผลตอบแทนที่เขาและบอร์ดจะได้รับก็ควรรุนแรงตามไปด้วย

ไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนที่ดำเนินงานอย่างลวกๆ กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ ของประเทศเลย แต่พวกเขาก็ยังต้องแบกปัญหา โดยสินทรัพย์มูลค่ากว่า 90% (หรือมากกว่านั้น) ที่พวกเขาถือครองอยู่ ถูกกวาดหายไปในวิกฤติครั้งที่ผ่านมา รวมๆ แล้วพวกเขาเสียเงินไปประมาณ 500 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดในวิกฤติ 4 ครั้งในรอบสองปี และการที่พูดกันมากว่างวดนี้ บรรดา เจ้าของ ได้รับการ “อุ้ม” (Bail-out) นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยตรงประเด็นสักเท่าใดนัก

จดหมายน้อยฉบับล่าสุดของบัฟเฟต | ตอน 3: การเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การลงทุน


บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของเราในส่วนนี้คือ Clayton Homes ผู้นำการผลิตในประเทศด้านชิ้นส่วนประกอบบ้านและการสร้างบ้าน Clayton ไม่ได้เป็นที่หนึ่งเสมอ กว่า 10 ปีมาแล้ว ที่บริษัท Fleetwood, Champion และ Oakwood กินส่วนแบ่งตลาดกว่า 44% ของผลผลิตทั้งหมดในอุตสาหกรรม...

ทั้งหมดล้มหายไปจากเหตุการณ์วิกฤติธนาคาร ทำให้ผลรวมในอุตสาหกรรมทั้งหมดในขณะนั้นตกลงจาก 38,2000 หน่วยในปี 1999 ลงเหลือ 60,000 หน่วยในปี 2009

เมื่อสิ้นปี 2009 เรากลายมาเป็นเจ้าของ Berkadia Commercial Mortgage ถึง 50% (หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ Capmark) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ มีพอร์ตการลงทุน 235 พันล้านดอลล่าร์ บริษัทนี้มีผู้บุกเบิกที่สำคัญหลายคน มีบริษัทลูกกระจายอยู่ใน 25 รัฐทั่วประเทศ แม้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะประสบปัญหาหนักในสองสามปีที่ผ่านมา แต่ทว่าโอกาสในระยะยาวของ Berkadia ก็ยังคงโดดเด่นอยู่

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คาถาดี สำหรับ SMEs ไทย

บรรดา SMEs ที่มีอยู่มากมายและกระจายตัวอยู่ในทุกอำเภอและจังหวัดนั้น ถ้าทำได้ทำดีมีคนนิยมและชื่นชม ก็ควรที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็น “SMEs ชั้นดี”



นับเป็นเวลาร่วม 10 ปีที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้การส่งเสริมสนับสนุน SMEs ของไทยอย่างเป็นระบบมีแผนงานชัดเจน จนเป็นที่มาของการเกิด พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และมากกว่า 5 ปีที่ได้ดำเนินโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (New Entrepreneur Creation) หรือเรียกสั้นๆ ว่า NEC อย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ รวมถึงการจัดทำแผนธุรกิจ การสร้างเครือข่ายพันธมิตร

โดยมีผู้ผ่านการอบรมไปจำนวนไม่น้อย ประสบความสำเร็จไปก็มาก มีทั้งที่ต่อยอดธุรกิจเดิม และที่ตั้งธุรกิจใหม่ ซึ่งผู้ที่ผ่านการอบรมมีตั้งแต่ ทายาทนักธุรกิจ ผู้จบการศึกษาใหม่ (แต่ไม่อยากเป็นลูกจ้าง) ผู้ที่ออกจากงานประจำ เพื่อหาโอกาสก้าวหน้าทางธุรกิจ หรือแม้แต่ผู้ที่ทำธุรกิจย่อมๆ ในครัวเรือนที่ต้องการทำอย่างจริงจังมากขึ้น

ทฤษฎีผลประโยชน์ตลาดหุ้น ในมุม..พิชัย จาวลา

ตลาดหุ้นภายใต้กลไกตลาดเสรี แท้จริงไม่เสรีอย่างในทฤษฎี ถ้าเราอยู่ฝั่งคนส่วนใหญ่ผลลัพธ์มักลงเอยอย่าง "ผู้แพ้"

พิชัย จาวลา นักคิดผู้กล้าเสนอความจริงที่แตกต่าง


"พิชัย จาวลา"... ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงตลาดหุ้น เขาไม่ใช่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหรือมีพอร์ตลงทุนเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท แต่พิชัยเป็น "นักคิด" ที่กล้านำเสนอความจริงที่แตกต่าง แตกสัจธรรมเพื่อค้นหาเหตุแห่งสัจธรรม เหรียญยังมีสองด้านฉันใด..ความจริงที่เรามองเห็นอาจไม่ใช่ความเที่ยงแท้เสมอไป

"เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง" หนังสือที่ไม่ได้ทำยอดขายติดอันดับ "เบสเซลเลอร์" บนแผงหนังสือ และค่อนข้างอ่านยากสำหรับหลายคน แต่เป็นผลงานที่เปิดให้เห็นตัวตนของ พิชัย จาวลา กรรมการบริหาร กลุ่มจาวลากรุ๊ป นักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 42 ปี ที่มีฐานอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“กองหุ้นที่บริหารเชิงรุก กับ “กองหุ้นที่บริหารเชิงรับ”


ถ้าจะเลือกกองทุนหุ้น จะเลือกกองทุนสไตล์การบริหารแบบไหนดีกว่ากัน ระหว่าง “กองหุ้นที่บริหารเชิงรุก กับ “กองหุ้นที่บริหารเชิงรับ”

@ มั่นใจใน Active Fund

“โศภนา เจนบวร” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย บอกว่า ปีแรกที่เศรษฐกิจฟื้นตัวตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีมาก อย่างตลาดหุ้นไทยในปี 2552 ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนสูงถึง 63.25% โดยดัชนีของทุกกลุ่มอุตสาหกรรมต่างให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกทั้งหมดตั้งแต่ 15.37-177.27% และไม่มีดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมใดเลยที่ให้ผลตอบแทนติดลบ ในปีที่ผ่านมา “กองทุนดัชนี (Index Fund)” ซึ่งมีผลตอบแทนเกาะไปกับดัชนีจึงมีผลการดำเนินงานค่อนข้างดี

แต่ในปีนี้จะต่างกันออกไปเพราะเป็นปีที่ 2 ของการที่เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัว ตลาดหุ้นจะกลับมาให้ผลตอบแทนในระดับที่ปกติไม่ได้มากเหมือนในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่าในปีนี้ดัชนีของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งที่ยังเป็นบวกและที่ติดลบสลับกันไป ในแง่ของการลงทุนเองก็คงไม่ง่ายเหมือนในปีที่ผ่านมา

ดังนั้น “กองทุนที่มีการบริหารเชิงรุก (Active Fund)” ที่ใช้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกหุ้นที่ดีเพื่อลงทุนจะเริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทและความสำคัญมากขึ้น ทั้งนี้จะเห็นว่าผลตอบแทนของกองทุนหุ้นในปีนี้ที่มีผลงานที่ดีจะเป็นกองทุนหุ้นที่เป็น Active Fund แล้ว

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เปิดไอเดีย 4 ยอดนักคิด ยกระดับแฮนด์เมดสู่ช่องทางทำกิน

ความแตกต่าง” มักเป็นที่มาของ “โอกาส” อยู่เสมอ และยิ่งในโลกปัจจุบันที่ “ความคิดสร้างสรรค์” ถูกนำมาใช้ในการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม เสริมอัตลักษณ์” ให้แก่งานในแขนงต่างๆ มากขึ้น การคิดค้นหรือสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ จึงจำเป็นต้องอาศัย “DNA ของงานดีไซน์” ที่มีอยู่ในตัวของเหล่าผู้ประกอบการมาสร้างเป็นจุดขาย เพื่อต่อยอด “จินตนาการและไอเดียตั้งต้น” สู่ขั้นตอนการผลิตเป็นผลงานสุดสร้างสรรค์ ยิ่งได้ผสมผสานเข้ากับจุดแข็งอันโดดเด่นของผู้ประกอบการไทย ซึ่งเติบโตและได้ซึมซับสมบัติด้านวัฒนธรรมของชาติมาอย่างเต็มเปี่ยม จึงไม่แปลกใจที่วันนี้ความคิดสร้างสรรค์แบบไทยๆ ของผู้ประกอบการหน้าใหม่สายเลือดสยาม จะสามารถก้าวเป็นผลงานดีไซน์ที่ครองใจมหาชนได้ในระดับสากล

เช่นเดียวกับเรื่องราวจากเหล่า “นักคิด” ที่มาพร้อม “ความฝัน” อันเต็มล้น สู่การบ่มเพาะและพัฒนาไอเดียสร้างสรรค์เพื่อปูทางไปยังเส้นทางสายธุรกิจภายใต้โครงการ “ต่อยอดสินค้าทำมือ สู่ตลาดทำกิน” ที่จัดขึ้นโดยศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ซึ่งช่วยต่อยอดให้เหล่านักประกอบการรุ่นใหม่ได้มองเห็นถึง “ศักยภาพ” ที่มีอยู่ในตัวตน อันนำมาซึ่งหนทางสู่ความสำเร็จ อย่างเช่น 4 มุมมองต้นแบบในการแปลงโฉม“ไอเดียไทยๆ” ให้กลายเป็นผลงานที่มีดีไซน์แปลกตา
 
 

******โปสการ์ด 3D เก็บกรุงเทพฯ เป็นของที่ระลึก ********

เริ่มต้นด้วยไอเดีย “โปสการ์ด 3 มิติ” ภายใต้ชื่องานว่า “กรุงเทพ 3 มิติ” อันเป็นผลงานทางความคิดที่เกิดขึ้นจากส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง “ความชอบ” และ “โอกาสทางธุรกิจ” ของ “ปิยทรรศ ธันธนาพรชัย” บัณฑิตจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ รั้วจามจุรี ที่ชูจุดขายด้วยการดีไซน์ที่แตกต่างไปจากโปสการ์ดที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด

Stress Test คืออะไร


ช่วงนี้คนมักจะพูดถึง Stress Test กันบ่อยครั้งขึ้น ยิ่งสหภาพยุโรปออกมากำหนดว่า วันที่ 23 กรกฎาคม ประเทศสมาชิกจะมีการประกาศผลในเรื่องนี้เกี่ยวกับสถาบันการเงินของตน ยิ่งทำให้หลายคนคงสงสัยว่า “Stress Test คืออะไร และสำคัญอย่างไร”

ถ้าจะอธิบายง่ายๆ Stress Test คือ การทดสอบความอึด ความอดทน ความสามารถรับวิกฤตและความท้าทาย ในรูปแบบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ว่าจะสามารถรับไว้ได้ โดยไม่ล้มหรือเสียหายลงไปหรือไม่

หลากหลายอาชีพใช้แนวคิดลักษณะนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือในการทำงานของตนเอง ตัวอย่างเช่น วิศวกร เมื่อสร้างสะพาน ตึก รถ เครื่องบิน อุปกรณ์ต่างๆ เสร็จเรียบร้อย สิ่งที่อยากรู้และอยากทดสอบก็คือ ว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมามีความแข็งแกร่ง มีความสามารถรองรับกับปัญหาจริงได้มากน้อยแค่ไหน เช่น สะพานจะรับน้ำหนักมากมากได้หรือไม่ รถยนต์ถ้าขับเร็วมากๆ ต่อเนื่อง จะขับได้นานแค่ไหน เครื่องยนต์จะมีปัญหา จะเสถียรหรือไม่

แม้กระทั่งคน เวลาเราไปตรวจสุขภาพ ก็จะมีการทดสอบสุขภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (เรียกว่า Exercise Stress Test) โดยหมอจะจับให้เราวิ่ง เดิน ออกกำลังกาย พร้อมตรวจคลื่นไฟฟ้าและความดันโลหิต เพื่อหาว่ามีปัญหาหลอดเลือดตีบ หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะแฝงเร้นอยู่หรือไม่

จดหมายน้อยฉบับล่าสุดของบัฟเฟต | ตอน 2: เจาะกลุ่มธุรกิจประกัน สาธารณูปโภค บริการ และการค้าปลีก


...ธุรกิจประกันภัย (P/C หรือ property-casualty) ของเรานั้นเป็นกลจักรสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของ Berkshire มานานและมันก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป สำหรับเราแล้วมันทำงานได้อย่างมหัศจรรย์มาก เรามีมูลค่าทรัพย์สินของบริษัท P/C ในบัญชี 15,500 ล้านดอลล่าร์ซึ่งมากกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้สุทธิ โดยที่เหลือถูกเก็บไว้ในบัญชี “Goodwill” ของเรา

บริษัทเหล่านี้มีมูลค่ามากเกินกว่ามูลค่าที่มันเป็นอยู่ และต่อไปนี้เราจะมาดูที่โมเดลทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม P/C ของเราที่จะบอกได้ว่าเพราะเหตุใด

ผู้รับประกันนั้นจะได้รับเบี้ยประกันก่อนที่จะต้องจ่ายเคลมในเวลาต่อมา ในกรณีที่ร้ายแรงเช่นการเพิ่มขึ้นของการจ่ายชดเชยอุบัติเหตุให้พนักงานประจำ การจ่ายชำระอาจจะยืดเวลาออกไปได้ภายในระยะเวลากว่า 10 ปี นี่คือ “collect-now, pay-later model” (เก็บก่อน จ่ายทีหลัง---ผู้แปล) ทำให้เราถือครองเงินจำนวนมากไว้ก้อนหนึ่งเฉยๆ ตลอดเวลา

เงินนี้เราเรียกมันว่า “float” ที่ในที่สุดแล้วก็ต้องจ่ายไปสู่คนอื่น แต่ขณะที่ยังไม่ได้จ่ายออกไปนั้นเอง เราก็เอาเงินดังกล่าวไปลงทุนเพื่อหากำไรให้ Berkshire แม้ว่านโยบายของแต่ละบุคคลและการเคลมนั้นจะมาแล้วก็ไป แต่ผลรวมของ float ที่เราถืออยู่ก็ยังคงเสถียรอยู่เป็นสัดส่วนกับรายรับเบี้ยประกัน ดังนั้นแล้วยิ่งธุรกิจเราโตเท่าไหร่เงิน float ของเราก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น

จดหมายน้อยฉบับล่าสุดของบัฟเฟต | ตอน 1: ปฐมบท


ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นคำแปลจดหมายถึงผู้ถือหุ้นฉบับล่าสุดของ Warren Buffet สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อเขียนที่มีชื่อเสียงของบัฟเฟต ที่นักลงทุนหรือผู้สนใจในเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับการบริหารความมั่งคั่งหรือมรดกให้พอกพูนไม่ร่อยหรอลงทุกคน ต้องเสาะแสวงหามาอ่าน

เราได้พยายามแปลแบบคำต่อคำ เพื่อให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาอังกฤษที่สุด แต่ก็ให้ได้ใจความในภาษาไทยด้วย

ท่านผู้อ่านควรอ่านจดหมายฉบับนี้พร้อมกับเรื่องราวใน Cover Story ของเราในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกรกฎาคม 2553 ที่เราเจาะลึกถึงสไตล์การลงทุนของบัฟเฟตและที่มาของความร่ำรวยของเขา ตลอดจนวิเคราะห์พอร์ตโฟลิโอล่าสุดของ Berkshire และถ่ายทอดบรรยากาศในการประชุมผู้ถือหุ้นที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการเป็นประจำทุกปีที่ Qwest Center เมือง Omaha

BERKSHIRE HATHAWAY INC.

เรียน บรรดาผู้ถือหุ้นบริษัท Berkshire Hathaway

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เงินเฟ้อกำลังมา แล้วเราจะไปไหนกันดี


คำจำกัดความทางเศรษฐศาสตร์ของภาวะเงินเฟ้อ คือ สภาวะที่ราคาของสินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ

ก็เลยอยากจะแถมไปอีกเล็กน้อยว่าภาวะเงินเฟ้อโดยทั่วไปมี 2 แบบ คือ ถูก "ดึง" ด้วยความต้องการ (Demand Pull) และถูก "ผลัก" ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น (Cost Push) ส่วนสังคมเศรษฐกิจแบบไหนจะอยู่ในสภาวะเงินเฟ้ออย่างใดหรือทั้งสองอย่าง ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะปัจจุบันของสังคมเศรษฐกิจเหล่านั้น

ตัวอย่างเช่น กรณีของอินเดีย ซึ่งปัจจุบันน่าจะเข้าสู่ยุคได้รับการคุกคามของเงินเฟ้อ ซึ่งตามการวิเคราะห์ของตลาดการเงินเชื่อว่าเป็นลักษณะของ Cost Push Inflation มากกว่าจะเป็นแบบ Demand Pull เนื่องมาจากความไม่พร้อมในโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ เช่น ถนนหนทาง ท่าเรือ พลังงานไฟฟ้า ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง และทำของออกไม่เพียงพอต่อความต้องการ

Starbucks กับที่มาของ 10 ล้าน Facebook Fans พลังของ Social Media Marketing


10 ล้านแรกในโลก ของ Facebook Fanpage เกิดขึ้นแล้วกับ Brand Starbucks Brand สินค้าแรกที่มี Fans ครบ 10 ล้าน

การทำตลาดของ Starbucks เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกจากนักการตลาดไม่ว่าจะเป็น Online หรือ Offline มี Case Study จำนวนมากที่ถูกหยิบยกขึ้นไปพูด แสดงถึงความขลังและความเฉียบคมของการทำตลาดผ่านช่องทางต่างๆ ที่ Starbucks เลือกใช้ จนมีคนกล่าวอยู่เสมอว่าการทำตลาดของ Starbucks ไม่ใช่การตลาดแล้ว มันขึ้นไปอีกระดับ มันคือ เพื่อน มันคือความสัมพันธ์ ของ Brand ที่มากกว่า Brand กับลูกค้า คือเพื่อน คือความสัมพันธ์ที่มากกว่านั้น

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลยุทธ์เร่งสร้าง Fan…เป็นเพียงก้าวแรก ไม่ใช่ตัวแทนความสำเร็จ


ผมเปิด Facebook ขึ้นมา และพบความประหลาดใจว่า ใน Wall กลับเต็มไปด้วยแคมเปญการตลาดจากสินค้าหลากชนิดที่ถูกนำมาโพสต์โดยหวังให้ไปช่วยกด Like เพื่อเป็นการโหวตให้คะแนน โดยที่ผู้ชนะการโหวตจะได้รับรางวัลตามที่กำหนดไว้

ยอมรับว่าเมื่อมันเยอะมากขนาดนั้น ผมอดจะหงุดหงิดไม่ได้ เพราะมันก็ไม่ต่างจากการ Spam ผ่านทาง Wall ที่ในอนาคตหากกิจการใช้วิธีการนี้กันมากๆ เป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ Facebook ของเรารก จนต้องมานั่ง Remove กันทุกวัน แต่เอาละแทนที่จะอารมณ์เสีย เลยชวนเพื่อนๆผู้อ่านมาวิเคราะห์กันเสียเลย เรียกว่า “เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส”

มาลองดูแคมเปญการตลาดเหล่านั้นกัน
เริ่มที่ Kleenex กระดาษเช็ดหน้าขนาดพกพา ใช้การประกวดภาพถ่ายไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพเดี่ยว ภาพคู่ หรือภาพกลุ่ม ซึ่งต้องไปถ่ายที่บูธ Kleenex ToGo แล้วนำมาลงใน Facebook จากนั้นก็ไปชักชวนเพื่อนๆมาคลิ๊ก Like สำหรับรูปถ่ายที่เราส่งเข้าประกวด ซึ่งภาพไหนที่ได้รับคะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัลที่พักของทาง Let’s Sea Resort ที่หัวหิน ซึ่งมีมูลค่าถึง 10,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการให้บรรดา Fan ร่วมตอบคำถาม ชิงรางวัล โทรศัพท์มือถือ Blackberry Bold 9700 โดยให้ผู้ที่ต้องการตอบคำถามนั้น ต้องสมัครเป็นสมาชิก (Fan) Facebook Page โดยการกดปุ่ม Like วิธีการนี้ ทำให้ Kleenex ได้จำนวน Fan ไป 3,328 คน (นับถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2553)

ทำเงินบนโลกไอที (38) : บทเรียนธุรกิจออนไลน์จากชุดลิเก

ทำไมชุดลิเกจึงเป็นตัวอย่างยอดเยี่ยมในการสอนบทเรียนเรื่องธุรกิจออนไลน์ให้คนไทยได้ ตามไปหาคำตอบจากบทความนี้ของ "ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ" ผู้คร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ชไทยมานานปี

***ชุดลิเกยังขายออนไลน์ได้ แล้วคุณจะหาอะไรมาขายดี?


เว็บไซต์ชุดขายการแสดงของป้าซิ้ม

การเริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการหรือเจ้าของธุรกิจดูจะเป็นความฝันของหลายคน โดยเฉพาะคนที่ยังเป็นพนักงานประจำ หรือยังไม่มีธุรกิจเป็นของตนเอง แต่การที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และมีความเสี่ยงมากมายมหาศาล เพราะต้องมีเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก และใช้เวลาไม่น้อยในการจัดตั้งธุรกิจ

การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์


เมื่อพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ต้องยอมรับว่าสหราชอาณาจักรถือเป็นต้นแบบที่มีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การจัดตั้งทีมงานเพื่อทำการศึกษาและจำแนกประเภทอุตสาหกรรม การจัดเก็บข้อมูลและสถิติ และการวางนโยบายและแผนงานในระดับต่างๆ คือ นโยบายระดับชาติ (National Policies) นโยบายรายอุตสาหกรรม (Sectorial Policies) และนโยบายเฉพาะเรื่อง (Emerging Policies) นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งหน่วยงาน (Public Bodies) ต่างๆ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนนโยบายทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคน การสนับสนุนทางด้านการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนที่ให้กับธุรกิจขนาดย่อม และการสนับสนุนทางด้านการวิจัยและพัฒนาผ่านสิทธิทางภาษีและโครงการต่างๆ มากมาย นอกจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว ภาคเอกชนและภาคการศึกษาก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของสห ราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการป้อนบุคลากรเข้าสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี

ธนพงศ์พรรณ ธัญญรัตตกุล เจเนอเรชั่นใหม่แห่งโลกโซเชียล มีเดีย

พูดถึงชื่อ “ธนพงศ์พรรณ ธัญญรัตตกุล”
วันนี้อาจมีคนรู้จักเขาในวงจำกัด แต่วันข้างหน้า... มีแววไปได้ไกล


พูดถึงชื่อ “ธนพงศ์พรรณ ธัญญรัตตกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทู ทรี เปอร์สเปกทีฟ จำกัด ผู้ให้บริการด้านการตลาดออนไลน์ผ่านโซเชียล มีเดีย และโมบาย แอพพลิเคชั่น วันนี้อาจมีคนรู้จักเขาในวงจำกัด แต่วันข้างหน้า... มีแววไปได้ไกล

เมื่ออายุ 23 ปี หลังเรียนจบ แล้วไปเป็นลูกจ้างคนอื่นมา 1 ปี เขาเริ่มธุรกิจของตัวเองร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน มีเงินตั้งต้น 3 แสนบาทด้วยเป้าหมายที่กำไร 1 ล้านบาท วันนี้เขาอายุ 25 ย่าง 26 ปี กำเงิน 100 ล้านบาทไว้ในมือ พร้อมตั้งเป้าปีหน้าตัวเลข 400 ล้านบาท หรืออย่างต่ำ 200 ล้านบาทจะต้องเกิดอย่างแน่นอน

ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์
ธนพงศ์พรรณ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งบริษัทว่า เกิดจากความสนใจส่วนตัวที่ต้องการทำงานด้านออนไลน์เว็บไซต์ และโมบายแอพพลิเคชั่น จึงเริ่มด้วยการขายงานแบบโปรเจคให้องค์กรต่างๆ ต่อมาเมื่อเห็นมีทีท่าไปได้ดีจึงตั้งบริษัทขึ้น ทั้งเห็นเทรนด์โซเชียลมีเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐกระแสแรงมาก ก็คิดว่าไม่ช้าต้องเข้ามาไทยแน่นอน

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Dividend VS Value Stock


คนจำนวนมากในตลาดหุ้นมักจะเข้าใจผิดคิดว่า Value Stock หรือหุ้นคุณค่าก็คือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลที่ดี ยิ่งปันผลสูงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นมากเท่าไรหุ้นนั้นก็เป็นหุ้น Value มากขึ้นเท่านั้น บ่อยครั้งโดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะตลาดไม่คึกคักโบรกเกอร์และหนังสือพิมพ์ก็จะนำเสนอหุ้นที่จ่ายปันผลงามที่สุด 10-20 อันดับ และแนะนำว่า เป็นหุ้นที่น่าลงทุน

บางครั้งผมเองก็เคยพูดว่า “ปันผลเป็นคำตอบสุดท้าย” นั่นคือมีหุ้นที่จ่ายปันผลดีบางตัวน่าสนใจเข้าข่ายเป็น Value Stock และต่อมาก็พิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงคือ หุ้นที่จ่ายปันผลดีเหล่านั้นทำกำไรให้กับคนที่ถืออย่างงดงาม

พูดไปพูดมามากๆ เข้าคนจำนวนไม่น้อยก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าหุ้น Value ก็คือหุ้นปันผล และคิดว่าผมในฐานะ Value Investor “พันธุ์แท้” ชอบลงทุนซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลงามและจะถือเก็บเพื่อกินปันผลเป็นหลักโดยไม่สนใจกำไรจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น

คนเหมือนกันทั้งโลก


ในการวิเคราะห์เรื่องการลงทุนนั้น แนวความคิดที่สำคัญมากอย่างหนึ่งที่ผมยึดถือก็คือความคิดที่ว่า “คนนั้นเหมือนกันทั้งโลก” ความแตกต่างของพฤติกรรมที่เราเห็นจากคนในแต่ละสังคมหรือแต่ละประเทศนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดจากความแตกต่างของรายได้

นั่นคือ สังคมที่รวยกว่าจะมีพฤติกรรมในการบริโภคและการใช้ชีวิตแตกต่างจากคนในสังคมที่จนกว่า แต่ในสังคมที่รวยพอ ๆ กันก็จะประพฤติหรือบริโภคสิ่งที่คล้าย ๆ กัน พูดง่าย ๆ คนไม่ได้แตกต่างกันเพราะเชื้อชาติ สีผิว หรือแม้แต่วัฒนธรรม แต่คนแตกต่างกันเพราะมีรายได้ไม่เท่ากัน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องชัดเจนก็คือ แท้ที่จริงแล้ว คนเรานั้นชอบหรืออยากทำอะไรเหมือน ๆ กัน เพียงแต่คน ๆ หนึ่งอาจจะมีรายได้มากพอที่จะทำในสิ่งที่ต้องการได้ ในขณะที่คนอีกคนหนึ่งทำไม่ได้เพราะไม่มีเงิน

จากแนวความคิดดังกล่าว ทำให้เราสามารถคาดการณ์ว่า ประเทศไทยหรือสังคมไทยจะเคลื่อนไหวไปทางไหน สินค้าหรือบริการอะไรจะขายได้หรือขายดีในอนาคต

วิธีการก็คือ ศึกษาจากประเทศหรือสังคมที่รวยกว่าเรา ดูว่าเคยเป็นอย่างไรและปัจจุบันเป็นอย่างไร ใช้ผลิตภัณฑ์อะไรมากน้อยแค่ไหน จากนั้นหันมาดูเมืองไทยว่า เราจะเดินตามแบบเดียวกับเขาเมื่อไร หัวใจสำคัญก็คือ ดูว่าเมื่อไรรายได้ของคนไทยจะเพิ่มขึ้นหรือราคาของสินค้าจะลดลงจนทำให้คนไทยมีปัญญาใช้สินค้านั้นได้เช่นกัน

9 เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนมาเป็น “บีบี”


การบริหารงานตลาดและการขายที่ดึงเอาแบล็กเบอร์รี่
หรือเจ้าบีบี  มาใช้มีความหลากหลาย เช่น

ประการแรก นักบริหารการตลาดและการขายสามารถติดต่อให้ข้อมุลกับทีมงานการตลาดและพนักงานขายได้ ไม่ว่าจะพวกเขาจะอยู่ที่ไหนข้างนอกออฟฟิศก็ตาม โดยข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางจะส่งไปหาแบล็กเบอร์รี่ของพนักงานขาย ช่วยเตือนความทรงจำเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจและลูกค้าที่ต้องไปพบ ข้อมูลของซีอาร์เอ็มหรือการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับการหาโอกาสทางการขาย รายละเอียดของการกำหนดราคา และข้อมูลของสินค้าคงเหลือที่จะใช้ในการตรวจสอบ ก่อนปิดการขาย

ด้วยการพัฒนาแบล็กเบอร์รี่ในงานการบริหารการตลาดและงานขาย ผู้บริหารระดับสูงในกิจการจะต้องป้อนความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิธีการทำงานผ่านแบล็กเบอร์รี่ ในการควบคุมโลกการขายแก่พนักงานขายแต่ละคนให้เกิดความเข้าใจ และใช้งานเป็น

กลยุทธ์์การทำการตลาด และสร้างสังคมแบรนด์ ด้วยนวัตกรรม Social Web

CASE STUDY: Twitter, Facebook และ YouTube:
กลยุทธ์์การทำการตลาด และสร้างสังคมแบรนด์
ด้วยนวัตกรรม Social Web

ในยุคของลองเทล (Long Tail) สื่อพื้นฐาน (Traditional Media) เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ลดบทบาทลง เมื่อเทียบกับสื่อออนไลน์ ซึ่งกำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในด้านการเข้าถึงและการประยุกต์ใช้ ดังเห็นได้จากการลดตัวของสัดส่วนโฆษณาบนสื่อพื้นฐานและการขยายตัวบนสื่อออนไลน์ทั้งในและนอกประเทศ Social Web หรือเว็บสังคม เช่น Twitter, Facebook หรือ YouTube เป็นนวัตกรรมสื่อออนไลน์ ที่มีการเข้าถึงสูงสุด และสามารถใช้เป็นกลยุทธ์ โดยอาศัยการเชื่อมโยง (Connection) ระหว่างสมาชิกหรือเครือข่ายสังคมเป็นเครื่องมือการตลาดได้หลายรูปแบบ เช่น แบบตรง (Direct) เจาะกลุ่มเป้าหมาย (Target) ปากต่อปาก (Word-of-Mouth) และเรียลไทม์ (Real-Time) นอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์สร้างสังคมแบรนด์ (Brand Community) เพื่อสนับสนุนผลประโยชน์ขององค์กร Social Web จึงเป็นกลยุทธ์ใหม่ ที่สร้างความเหลื่อมล้ำทางการแข่งขันได้

1. ลองเทลและสื่อออนไลน์
ในยุคของลองเทล สื่อพื้นฐาน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ซึ่งแต่เดิมผูกขาดการถ่ายทอดข่าวสารข้อมูล ลดบทบาทลง เนื่องจากมีสื่อทางเลือกใหม่เช่นสื่อออนไลน์เข้ามามีส่วนร่วมในเวลาของผู้บริโภคมากขึ้น ปัจจุบันผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์ ในขณะที่ผู้บริโภครุ่นเก่ายังยึดติดกับสื่อพื้นฐาน (Anderson, 2006) ในเวลานี้ ค่ามีเดียน (Median) ของอายุผู้บริโภคสื่อโทรทัศน์ในสหรัฐสูงถึง 50 ปี ขณะที่ค่ามีเดียนของอายุชาวอเมริกันอยู่ที่ 38 ปี จึงเห็นได้ว่า เดโมกราฟฟิกอายุ (Age Demographic) ของผู้บริโภคสื่อโทรทัศน์ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายอีกต่อไปแล้ว นั่นคือกลุ่มอายุ 18-49 ปี (Somaiya, 2008) ในขณะที่หลายคนไม่รู้ตัว สื่อออนไลน์กำลังเปลี่ยนมาเป็นสื่อมวลชนหลัก (Mass Media) ของผู้บริโภครุ่นใหม่ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้า ข่าวสารข้อมูลจากสื่อพื้นฐานยังสามารถถ่ายทอดได้บนสื่อออนไลน์ในรูปแบบที่ทันสมัยกว่า และเข้าถึงได้ง่ายกว่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในอนาคตสื่อออนไลน์จะพัฒนามาแทนที่สื่อพื้นฐานยิ่งขึ้นไปอีก

คนอเมริกันกับการลงทุนผ่านกองทุนรวม

มีคนถามดิฉันว่า เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในรูปอะไร
ดิฉันตอบว่า “กองทุนรวม”

คนก็สงสัยว่า ทราบเรื่องการลงทุนดีอยู่แล้วทำไมต้องใช้บริการกองทุนรวม


มีหลายสาเหตุค่ะ นอกจากเคยทำงานอยู่ในธุรกิจทำให้ไม่สะดวกในการลงทุนเอง มีความมั่นใจในระบบการจัดการของกองทุนรวม และมีความอยากลงทุนในกองทุนแต่ละกองทุนที่ออกมาเสนอขายผู้ลงทุนจริงๆ แล้ว ยังมีสาเหตุที่ ถึงไม่เคยอยู่ในธุรกิจกองทุนรวม ก็ยังจะใช้บริการ เพราะกองทุนรวมมีข้อได้เปรียบหลายประการ ขอกล่าวถึงหลักๆ 3 ประการค่ะ

ประการแรกคือ มีมืออาชีพคอยดูแลจัดการให้ เราไม่ต้องคอยติดตามสถานการณ์ตลาดต่างๆ ด้วยตนเอง ยิ่งหากมีงานประจำทำอยู่ งานยุ่งๆ ไม่สามารถติดตามภาวะตลาด ไม่ได้ซื้อหรือขายตามจังหวะที่ควรจะเป็น ก็จะเสียโอกาสไปเป็นอันมาก

ประการที่สอง คือ สิทธิทางภาษี โดยเงินปันผลของบริษัทต่างๆ ที่กองทุนรวมรับมา ไม่ต้องเสียภาษี หากเราซื้อหุ้นบริษัทแล้วรับเงินปันผลโดยตรงจะเสียภาษี หัก ณ ที่จ่าย 10% สำหรับกำไรจากการขายหุ้นทุน ไม่เสียภาษีเหมือนๆ กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือลงทุนโดยตรง

7 เคล็ด(ไม่)ลับ กับการตลาดออนไลน์

FiVA - First Vision Advantage 1. กฎ 10/90

มีธุรกิจจำนวนเพียง 10% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จกับการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การลงโฆษณาออนไลน์ การตลาดผ่านอีเมล์ การทำเวปไซต์ แล้วอะไรคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเป็นหนึ่งในสิบเปอร์เซ็นต์นั้น ไม่ใช่เรื่องยากถ้าคุณทุ่มเท 90% กับการปรับปรุงคุณภาพของการตลาดออนไลน์ ซึ่งทำได้โดยการวัดผลอย่างชัดเจน (Performance Assessment) วิเคราะห์ผลอย่างแม่นยำ (Analysis & Review) และปรับปรุงอย่างชาญฉลาด (Continuous Optimization)

2. วัดผลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
If you can’t measure, you can’t control อะไรก็ตามที่คุณวัดไม่ได้ ก็ยากที่คุณจะควบคุมมันได้ การตลาดออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน หลายธุรกิจลงทุนไปกับสืื่อหลากหลายชนิด ทั้งลงนิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แผ่นพับ ใบปลิว หรือ โฆษณาผ่านอินเตอร์เนต แต่กลับละเลยที่จะวัดผลของสื่อเหล่านั้นอย่างมีรูปธรรม เป็นโชคดีของการตลาดออนไลน์ ทีมีทางออกง่ายๆ ในการวัดผลตอบแทน เนื่องจากมีเครื่องมือในการวัดผลอย่าง Google Analytics ซึ่งนอกจะใช้บริการฟรีแล้วยังสามารถ ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง ไม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้จะเป็น website, flash, email หรือ video แม้ว่าจะมีข้อจำกัดเรื่อง pageviews หรือจำนวนหน้าในการเข้าชมจะต้องไม่เกิน 5 ล้าน pageviews ต่อเดือน สำหรับฟรี account หากเกินกว่านั้นก็มาเป็นลูกค้าโฆษณาของ Google ก็สามารถใช้ฟรีโดยไม่มีข้อจำกัด

การตลาด พีอาร์ และ CRM ด้วย Facebook Page (Fan Page) – 01

ก่อนที่จะเริ่มใช้ Facbook Business Page หรือ Fan Page สำหรับ การตลาด CRM ผมขอให้ท่านเห็นความแตกต่าง ระหว่าง Facebook Personal Page (Profile page) และ Facebook Business Page กันก่อนว่า อะไรต่าง และ ทำไมถึงต้องเป็น Facebook Business Page… เพราะหลายๆ ท่านสอบถามผมถึงเรื่องนี้ ค่อนข้างเยอะ และติดปัญหาเรื่องการ สร้าง Fans ที่จะมาเป็นสมาชิก Facebook Business Page หลายๆท่านหันไปใช้ Profile Page แทน ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ค่อยเหมาะกับงานธุรกิจเท่าไหร่นัก

ความแตกต่างระหว่าง
Facebook Profile Page และ Facebook Business Page

ระบบ Facebook มี เครื่องมือในการสร้างเพจ อยู่ สามแบบหลักๆ คือ Personal Page, Group, และ Business Page ที่เราคุ้นเคยดี เป็น Personal Page ที่เราใช้สื่อสาร หรือเล่นเกมส์ ส่วน Group เหมาะสำหรับกลุ่มบุคคลที่สนใจในสิ่งที่เหมือนกันเข้ามาสื่อสารกัน และ Business Page เป็นเพจ สำหรับธุรกิจเพื่องานการตลาด และประชาสัมพันธ์ หรือ งานบริหารลูกค้า แต่หลายๆ ท่านยังคงสับสนและไม่แน่ใจว่า เครื่องมือ Facebook แต่ละชนิด มันเหมาะสมกับงานประเภทใดบ้าง และจะใช้งานมันอย่างไร

โดยปกติแล้วเมื่อเรา ล็อคอิน เข้าไปที่ Facebook ระบบจะนำท่านเข้าไปสู่หน้า News Feed ซึ่งเป็นที่รวบรวมข่าวสาร ความเคลื่อนไหว จากเพื่อนๆ ของท่าน หรือ แฟนเพจ ที่ท่านสมัครเป็นสมาชิก (โดยปกติหน้า หลัก ที่เราเห็นหลังจากล็อคอินจะเป็น หน้า News Feed) ในหน้า News Feed นี้ มีสองประเภทคือ Live Feed กับ News Feed โดยที่ Live Feed จะแสดวงข่าวสารหรือความเคลื่อนไหวเกือบจะเรียลไทม์ และส่วนมากจะแสดงเฉพาะข้อมูลข่าวสารในวันนั้น ส่วน News Feed จะแสดงข้อมูลข่าวสารย้อนหลังทั้งหมด ดูรูปข้างล่างเป็นตัวอย่างแสดงหน้า News Feed

'นพ.บำรุง ศรีงาน' จาก 'หมอบ้านนอก' สู่ 'เซียนหุ้น VI'

เปิดใจ 'หมอสามัญชน' ประธานชมรมไทยวีไอดอทคอม จากเงินก้อนแรก 1.4ลบ. ผ่านไป 9ปี พอร์ตหุ้นทะยานแตะระดับ 'ร้อยล้าน' เขาทำได้ คุณก็ทำได้



ใครๆ ก็ยากรวยจากตลาดหุ้น แต่ใช่ว่าใครๆ ก็รวยได้ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มต้นคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าของ "ครอบครัวศรีงาน" เขาตัดสินใจนำเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่ทำงานรับใช้คนไข้มาตลอด 7 ปี รวมกับเงินกู้สหกรณ์อีกก้อนหนึ่ง เริ่มเพาะต้นกล้าการลงทุนตามแนวทางแวลูอินเวสเตอร์โดยมีอนาคตลูกน้อยอีก 3 ชีวิตเป็นเดิมพัน


เวลาผ่านไป 9 ปี มหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ "ทบต้น" และการทุ่มเทค้นหาเส้นทางแห่งความสำเร็จ ทำให้หมอบ้านนอกประกาศอิสรภาพทางการเงิน เป็น "นาย" ของเงินนับ "ร้อยล้านบาท" ในปัจจุบัน และใช้เงิน "ทำงาน" ราวกับเครื่องจักรอันทรงพลัง ทั้งยังแบ่งปันความรู้จนเป็นที่นับถือของพี่น้องชาวไทยวีไอดอทคอม ในฐานะ.."พี่หมอสามัญชน"

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เติมไอเดียใส่ตอมะพร้าว รายได้หลักแสนจากเศษขยะ
















เพราะมองเห็นคุณค่าของตอต้นมะพร้าว ที่เดิมถูกทิ้งเปล่าประโยชน์อยู่มากมายบนเกาะสมุย กลายเป็นจุดพลิกชีวิตของผู้ประกอบการรายหนึ่งที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ โดยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ กว่าพันชนิด ซึ่งได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยและต่างประเทศ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยไม่ต้องควักเงินซื้อวัตถุดิบเลย



สุนทร โพธิ์น้อยงาม คือ เจ้าของกิจการผลิตภัณฑ์แปรรูปจากตอต้นมะพร้าว อยู่ที่บ้านสระเกศ ต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ก่อนหน้านี้ เคยทำงานเป็นช่างไฟฟ้ารับจ้างอยู่บนเกาะสมุย จนหันมาบุกเบิกธุรกิจปัจจุบัน เมื่อ 14 ปีที่แล้ว เพราะมองเห็นถึงคุณค่าของตอต้นมะพร้าว ในขณะที่คนทั่วไปมองข้าม