วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

“FIF ทางเลือกในการลงทุน ยามเงินบาทแข็งค่า”

ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เราได้เห็นนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนให้ไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในมาตรการต่างๆเหล่านั้นก็คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ซึ่งล่าสุดบลจ.หลายแห่งก็พร้อมใจกันประกาศขายกองทุน FIF กองใหม่กันอย่างคึกคัก จากการรวบรวมของ Money Channel เฉพาะที่เสนอขายในช่วงปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน มีมูลค่ารวมกันเกือบ 32,000 ล้านบาท

แม้ว่า FIF ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 80%ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ จะเริ่มมีมาเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้ แต่ปัจจุบันกองทุน FIF เป็นที่รู้จักและมีอัตราการเติบโตมากขึ้น หลังจากได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายวงเงินลงทุนต่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อลดแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ขณะเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมา กองทุน FIF เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้ลงทุนมากขึ้น ทั้งจากการที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม หรือ บลจ. ต่าง ๆ มีการประชาสัมพันธ์จากการเสนอขายกองทุน FIF อย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ การสร้างแรงจูงใจด้วยความเชื่อที่ว่าการไปลงทุนยังต่างประเทศ นอกจากมีโอกาสจะทำให้อัตราผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนส่งผลให้กองทุน FIF มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับกองทุนประเภทอื่น
 
 

การเปิดตัวของกองทุน FIF ในช่วงที่ผ่านมา เฉพาะที่เสนอขายในช่วงปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน มีมูลค่ารวมกันเกือบ 32,000 ล้านบาท แต่ละกองมีการชูจุดเด่นในเรื่องของนโยบายการลงทุนที่หลากหลายมากกว่าในอดีต ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้มูลค่ากองทุน FIF เติบโตขึ้น แต่ด้วยนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุนที่มีการแบ่งเฉพาะเจาะจงไปในบางประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง หรือลงทุนผ่านกองทุนระดับโลกที่มีนโยบายลงทุนในบางธุรกิจตามที่ บลจ.แต่ละแห่งมองว่าเป็นธุรกิจที่ศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ พลังงานทางเลือก หรือแม้กระทั่งสินค้าแบรนด์เนม ยังสร้างสีสันให้กับวงการกองทุนรวมด้วย


แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจอื่น แต่บลจ.เอ็มเอฟซี ก็ยอมรับและสร้างสีสันให้กับ FIF ด้วยการเสนอขายกองทุนเปิด MFC International Chic Fund ที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Dominion CHIC Fund Limited ซึ่งบริหารและจัดการโดย Dominion Fund Management Limited ซึ่งมีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม ทั้งรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร ยานยนต์ แต่จะคัดเลือกบริษัทที่มีสินค้าระดับพรีเมียม หรือแบรนด์เนมซึ่งเป็นที่รู้จักของทั่วโลก

“พอเราเห็นแนวคิดของเขา ถามว่าจะซื้อสินค้าพรีเมี่ยมเขาทุกแบรนด์หรือเปล่า ผมบอกว่าไม่ใช่ สิ่งที่อ่านดู ศึกษาดู และให้คะแนนแล้ว เราเชื่อว่าเขามีวิธีการคัดเลือกน้ำหนักที่ใช้ในการลงทุน และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงของการลงทุน อย่าลืมว่าสินค้ากลุ่มนี้มองดูแล้วอาจจะมีความเสี่ยงสูงกว่าสินค้าหรือหุ้นทั่วไป แต่พอเราดูว่าเขามีวิธีการป้องกันความเสี่ยงอย่างไรเราก็ค่อนข้างที่จะพอใจ เราก็เลยร่วมลงทุนในกองทุนนี้” ดร.ศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ. MFC กล่าว

ด้าน บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) ที่ถือเป็นอีกหนึ่ง บลจ. ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารกองทุน FIF ล่าสุด เสนอขาย FIF กองที่ 5 ของปี กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิเมอร์จิ้ง อิสเทอร์น ยุโรป ที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนและซื้อขายของภูมิภาคยุโรปตอนกลางและตะวันออกในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศรัสเซีย โปแลนด์ ตุรกี ฮังการี และสาธารณรัฐเชค

นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) บอกว่า ถ้าดูจากการเติบโตของยุโรปตะวันออก เร็วที่สุดก็คือ รัสเซีย รองลงมาคือ เชค โปแลนด์ และตุรกี ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเหล่านั้นก็เติบโตเร็วมาก เพราะฉะนั้นจึงน่าสนใจมาก และทางแมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้จัดการกองทุนของแต่จะมีผู้จัดการกองทุนซึ่งอยู่ที่ประเทศอังกฤษบริหารให้

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาหลาย บลจ. อาจจะมีการออกกอง FIF กันไปบ้างแล้ว แต่บลจ.ฟิลลิป เริ่มเดินเครื่องคลอด FIF กองแรก ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.. ภายใต้ชื่อ กองทุนปิดฟิลลิป เอเชีย แปซิฟิค ซึ่งเป็นการลงทุนแบบ ฟันด์ ออฟ ฟันด์ ผ่าน ฟิลลิป เอเชีย แปซิฟิค โกรธ ฟันด์ ที่เป็นกองทุนแม่ โดยมีนโยบายลงทุนแบบยืดหยุ่นทั้งในตราสารทุนและตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางถึงยาว

นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟิลลิป บอกถึงจุดเด่นของกองทุนนี้ว่า “ทาง Fund Manager สิงคโปร์ของเรา เป็นคนที่มีความกังวลในด้านความเสี่ยงเป็นหลักไม่ใช่จะเร่งแต่ทำผลตอบแทน ซึ่งที่ผ่านมาก็เลือกลงทุน และเป็นทีมที่กล้าซื้อเวลาที่มีข่าวไม่ดีและกล้าขายในช่วงเวลาที่ตลาดดี ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ซื้อที่ราคาต่ำสุด หรือขายที่ราคาสูงสุด แต่เราดูแล้ว จังหวะของเขาค่อนข้างดี เวลาที่ตัดสินใจส่วนใหญ่ค่อนข้างถูก”

ส่วนบลจ.ที่เสนอขาย FIF เจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มก็มีเช่นกัน เมื่อ บลจ.พรีม่าเวสท์ ได้จับมือธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด(ไทย) เปิดตัว FIF กองใหม่ ภายใต้ชื่อ กองทุนเปิดพรีมาเวสท์ (ไทยแลนด์)ไดนามิก วอเตอร์ ฟันด์ ที่มีนโยบายลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำทั้งด้านการผลิตน้ำและบำบัดน้ำ รวมถึงกิจการที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องการจัดการ หลังเห็นแนวโน้มว่ากลุ่มอุตสาหกรรมน้ำในตลาดทุนโลกจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างแน่นอนเพราะต้องมีการลงทุนในรอบ 10 ปีข้างหน้าอีกไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

“กองทุนนี้จริง ๆ แล้วเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้ตัวมากที่สุดและคิดว่านักลงทุนทุกคนรู้จักอุตสหากรรมประเภทนี้ ตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้ดูลึกลงไปซึ่งถ้าดูภาพรวมทั่วโลกคิดว่ามีโอกาสที่ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น เพราะยังต้องมีการลงทุนในอุตสาหกรรมพวกนี้ได้อีกเยอะ” นายเพิ่มพล ประเสริฐล้ำ กรรมการผู้จัดการ บลจ.พรีมาเวสท์กล่าว

และในภาวะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีการเติบโตค่อนข้างสูง บลจ.แอสเซทพลัส ก็ได้ เปิดกองทุนเปิดแอสเซทพลัส เอเชี่ยน สเปเชียล ซิททูเอชั่นส์ โดย FIF กองนี้จะจัดสรรเงินลงทุนในสัดส่วน 80% เพื่อลงทุนผ่านหน่วยลงทุนหลักที่มีชื่อว่า Fidelity Advisor World-Asian Special Situations Fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นประเทศแถบเอเชีย ยกเว้น ญี่ปุ่น ที่มีสภาพคล่องสูง ครอบคลุมถึงหุ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวทางธุรกิจ โดยเงินทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนใน เงินฝาก และ ตราสารระยะสั้นของสถาบันการเงินในต่างประเทศ

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส มั่นใจว่า ตลาดหุ้นเอเชียเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นได้อีก แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการชะลอตัวลง เพราแนวโน้มการเติบโตของตลาดเอเชียก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก

นอกจากนี้การตื่นตัวเรื่องภาวะโลกร้อนก็เป็นโอกาสทางธุรกิจเช่นกัน เมื่อบลจ. ธนชาตเสนอขาย “กองทุนเปิดธนชาตนิวเอ็นเนอร์จีฟันด์” ซึ่งมีนโยบายลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนทั่วโลก โดยกองทุนดังกล่าวอยู่ภายใต้การบริหารของ Blackrock Merrill Lynch Investment Managers ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก และกองทุนอ้างอิงนี้มีผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีเฉลี่ยที่ 30-40% ต่อปี

“เป็นกองทุนที่ลงทุนในพลังงานทางเลือก ถามว่าน่าสนใจยังไง เราเห็นว่ามีความไม่แน่นอนของราคาพลังงานอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นความเสี่ยง ซึ่งขณะนี้ผู้ใช้พลังงานทางเลือกก็เป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ลงทุน และในยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ก็เห็นความเสี่ยงเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นมันมีโอกาส” นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต

ในภาพรวมแล้วแม้ว่าการลงทุนผ่านกองทุน FIF จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศ แต่ความเสี่ยงก็สูงกว่าเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงจากปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศนั้นๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ตลอดจนอุตสาหกรรมและสภาพแวดล้อมของตลาดเงินตลาดทุนที่มีความแตกต่างกัน และ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่ได้รับมีความไม่แน่นอน รวมทั้งนักลงทุนบางส่วนยังคงมองว่าการลงทุนในต่างประเทศเป็นเรื่องยาก เนื่องมาจากลักษณะของกองทุน FIF จะเหมาะกับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนในต่างประเทศในระดับหนึ่ง สามารถรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก และมีความต้องการลงทุนในระยะยาว จึงทำให้กลุ่มผู้ลงทุนยังจำกัดอยู่ในบางกลุ่มเพียงเท่านั้น

ปัจจุบันกองทุน FIF เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากขึ้น เห็นได้จากการเติบโตแบบก้าวกระโดดของมูลค่าของกองทุนจาก 900 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 30,600 ล้านบาท มาเป็น 2,700 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 91,800 ล้านบาทในขณะนี้

แม้ว่ากองทุน FIF จะเติบโตขึ้น และมีการเสนอขายกองใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ ล่าสุดทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพยฺและตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. เตรียมที่จะออกกฎเกณฑ์บังคับให้ บลจ.ต่างๆที่ขออนุมัติจัดตั้งกองทุน FIF ให้เสนอขายหน่วยลงทุนภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต. หลังจากพบว่ามีหลาย บลจ.ที่ยังไม่ได้เสนอขายหน่วยลงทุน ทั้งที่ได้รับอนุมัติจาก ก.ล.ต.แล้วมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท หรือประมาณ 51,000 ล้านบาท
 
 
 
จาก Money Channel

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น