วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จดหมายน้อยฉบับล่าสุดของบัฟเฟต | ตอน 1: ปฐมบท


ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นคำแปลจดหมายถึงผู้ถือหุ้นฉบับล่าสุดของ Warren Buffet สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นข้อเขียนที่มีชื่อเสียงของบัฟเฟต ที่นักลงทุนหรือผู้สนใจในเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับการบริหารความมั่งคั่งหรือมรดกให้พอกพูนไม่ร่อยหรอลงทุกคน ต้องเสาะแสวงหามาอ่าน

เราได้พยายามแปลแบบคำต่อคำ เพื่อให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาอังกฤษที่สุด แต่ก็ให้ได้ใจความในภาษาไทยด้วย

ท่านผู้อ่านควรอ่านจดหมายฉบับนี้พร้อมกับเรื่องราวใน Cover Story ของเราในนิตยสาร MBA ฉบับเดือนกรกฎาคม 2553 ที่เราเจาะลึกถึงสไตล์การลงทุนของบัฟเฟตและที่มาของความร่ำรวยของเขา ตลอดจนวิเคราะห์พอร์ตโฟลิโอล่าสุดของ Berkshire และถ่ายทอดบรรยากาศในการประชุมผู้ถือหุ้นที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการเป็นประจำทุกปีที่ Qwest Center เมือง Omaha

BERKSHIRE HATHAWAY INC.

เรียน บรรดาผู้ถือหุ้นบริษัท Berkshire Hathaway

รายรับสุทธิของเราระหว่างปี 2009 มีมูลค่า 21.8 พันล้านดอลล่าร์ฯ ซึ่งเพิ่มมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นให้เราทั้งหุ้น Class A และ Class B ถึง 19.8% โดยกว่า 45 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ผู้บริหารชุดนี้เข้ามาจัดการเป็นต้นมา) มูลค่าทางบัญชี เติบโตขึ้นจาก 19 ดอลล่าร์ต่อหุ้น มาเป็น 84,487 ดอลล่าร์ต่อหุ้น นั่นคือเพิ่มขึ้นประมาณ 20.3% ต่อปี (บัฟเฟตใช้คำว่า “compounded annually”—ผู้แปล)

และเมื่อไม่นานมานี้ Berkshire เข้าซื้อกิจการของบริษัท Burlington Northern Santa Fe (BNSF) มาอีก ซึ่งอาจจะทำให้จำนวนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 65,000 คน รวมเป็น 500,000 คนในบัญชีผู้ถือหุ้นทั้งหมดของเรา สิ่งนี้สำคัญมากต่อ Charlie Munger คู่หูเก่าแก่ของผมและตัวผมเอง ที่ต้องให้บรรดาผู้ถือหุ้นทุกคนเข้าใจถึงการทำงานของ Berkshire รวมตลอดถึง เป้าหมาย ข้อจำกัด และวัฒนธรรมของเราด้วย ในรายงานประจำปีแต่ละฉบับ เราก็จะกล่าวซ้ำๆ ถึงหลักการเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เรายึดถือเป็นเข็มมุ่งให้กับเรา (เขาใช้คำว่า “economic principles” ผู้แปล.) ปีนี้หลักการเชิงเศรษฐศาสตร์ดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในหน้า 89-94 และผมก็อยากกระตุ้นให้ทุกคน—และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ถือหุ้นรายใหม่—ขอให้อ่านให้ดี เพราะ Berkshire นั้นยึดมั่นในหลักการนี้มาหลายทศวรรษแล้วและจะยังคงทำเช่นนี้ต่อไปอีกตราบนานเท่านานภายหลังที่ผมจากไป

ในจดหมายฉบับนี้เรายังพูดถึงพื้นเพทางธุรกิจบางอย่างของเรา หวังเพื่อเป็นการแนะนำปฐมนิเทศน้องใหม่ สำหรับทั้งเจ้าของ BNSF ที่มาใหม่ และยังเป็นคอร์สเสริมสร้างความสดใหม่ให้สมาชิกหน้าเก่าๆ ใน Berkshire ผู้ผ่านประสบการณ์มาแล้วอย่างโชกโชนอีกด้วย

เราประเมินตัวเราเองอย่างไร

ตารางวัดผลสำเร็จในการจัดการของเรานั้นถูกแสดงไว้ในหน้าตรงข้าม (ของจดหมายฉบับนี้—ผู้แปล) แล้ว จากแรกเริ่ม Charlie และผมเชื่อในมาตรฐานของความมีเหตุผลและตรงไปตรงมา นั่นคือสิ่งที่เรามี – หรือ อาจไม่มี เพื่อที่จะวัดว่าเราทำสำเร็จหรือไม่ นั่นช่วยเราให้พ้นจากการโดนหลอกล่อให้มองเห็นลูกธนูแห่งความสำเร็จนั้นเข้าเป้าเสียก่อนแล้วค่อยไปทำเป้าตาวัว (เป้าที่สำหรับใช้ปาลูกดอกหรือยิงธนูใส่—ผู้แปล) ไว้รอบมันในภายหลัง

การเลือก S&P 500 ให้เป็นตัวเปรียบเทียบกับเรานั้นเป็นตัวเลือกที่ง่ายมาก เพราะผู้ถือหุ้นของเรา สามารถได้ผลตอบแทนนั้นอยู่แล้วด้วยการถือ Index Fund ด้วยตัวเอง ซึ่งมันไม่ได้มีต้นทุนอะไร แต่แล้วทำไมพวกเขาจะต้องมาจ่ายให้กับเราหากเราทำได้คือๆ กัน?

การตัดสินใจที่ยากยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับเราก็คือ จะวัดผลประกอบการของ Berkshire เทียบกับ S&P ได้อย่างไรบ้าง ถือเป็นข้อโต้แย้งที่ดีสำหรับการใช้โอกาสที่ราคาหุ้นของเรามีการเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ความจริงคือมันเป็นบททดสอบที่ดีที่สุด แต่การใช้ราคาตลาดแบบปีต่อปีก็อาจผิดปกติชนิดเอาแน่เอานอนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การประเมินผลโดยใช้ช่วงเวลาที่ยาวนานครอบคลุมกว่าทศวรรษก็ยังมีโอกาสที่จะถูกบิดเบือนได้มาก จากราคาที่สูงขึ้นหรือต่ำลงอย่างไร้เหตุผล ณ จุดเริ่มต้อนหรือจุดจบช่วงของการวัด Steve Ballmer ของ Microsoft และ Jeff Immelt ของ GE สามารถบอกคุณเกี่ยวกับปัญหานั้นได้ จากความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญ เมื่อราคาหุ้นของกิจการของพวกเขาซื้อขายกันด้วยราคาบ้าเลือด (เขาใช้คำว่า “the nosebleed prices”—ผู้แปล) ในวันที่พวกเขาต้องรับไม้ต่อเพื่อเข้ามากุมบังเหียนกิจการ

มาตรฐานในอุดมคติสำหรับการวัดกระบวนการทำงานเป็นรายปีของพวกเรานั้น ควรจะเป็นการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้นใน Berkshire (เขาใช้คำว่า per-share intrinsic value”—ผู้แปล) น่าเศร้าที่มูลค่านั้นไม่สามารถคำนวณออกมาได้ด้วยความแม่นยำ ดังนั้นเราจึงหันมาใช้การประมาณหยาบๆ ต่อหุ้นแทน อาศัยมาตรฐานนี้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งเราจะอภิปรายกันในหน้า 92 และ 93 ยิ่งไปกว่านั้น มูลค่าหุ้นทางบัญชีของบริษัทส่วนมากย่อมมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และแน่นอนว่านั่นก็เป็นปัญหาของ Berkshire ด้วย โดยรวมแล้วธุรกิจของเรามีค่ามากเกินกว่ามูลค่าทางบัญชีมาก ยิ่งในธุรกิจประกันทั้งหมดที่สำคัญของเรา ส่วนต่างจะยิ่งมีมาก ดังนั้นแล้ว Charlie และผมเชื่อว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีของเรา—แน่นอนว่ายังมีมูลค่าไม่เต็มที่นัก—สามารถสะท้อนให้เห็นมูลค่าที่แท้จริงของเราได้ ด้วยการวัดวิธีนี้ ก็อย่างที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในย่อหน้าแรกของจดหมาย ทำให้เราคำนวณมูลค่าหุ้นของเราตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทางการเงินตั้งแต่ปี 1965 ว่าได้เติบโตขึ้นด้วยอัตรา 20.3% ต่อปี

เราควรกล่าวไว้ด้วยว่า หากเราเลือกใช้ ราคาหุ้นตามราคาตลาด เป็นมาตรวัดแทน ผลประกอบการของ Berkshire จะออกมาดูดีกว่า โดยจะมีกำไรตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทางการเงินเมื่อ 1965 ถึง 22% ต่อปี น่าแปลกใจที่ส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีนำมาซึ่งผลตอบแทนถึง 801,516% จากการดำเนินงานทั้งหมดในชั่วระยะเวลา 45 ปี หากวัดด้วยราคาตลาด เมื่อเปรียบเทียบกับ 434,057% เมื่อวัดด้วยมูลค่าตามบัญชี (แสดงในหน้า 2) ผลตอบแทนแบบแรก (ที่ใช้ราคาหุ้นตามราคาตลาดเป็นตัววัด—ผู้แปล) ย่อมดีกว่าเพราะในปี 1965 หุ้นของ Berkshire ซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอันเนื่องมาแต่สินทรัพย์ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ของกิจการสิ่งทอในขณะนั้น แต่ทว่าในวันนี้หุ้นของ Berkshire ซื้อขายกันเหนือกว่ามูลค่าทางบัญชีของธุรกิจชั้นยอดทั้งหมดที่มีอยู่ในมือเรา นั่นเอง

สรุปแล้ว แม้เราจะได้ผลตอบแทนในเชิงบัญชีน้อยกว่าตลาดในช่วง 1965-1969 และ 2005-2009 แต่เรากลับทำได้ดีกว่า S&P และอย่างสม่ำเสมอในช่วง 11 ปีที่ตลาดติดลบ ดังนั้น อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า กลยุทธ์การตั้งรับของเรานั้นดีกว่าการรุก และก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นสืบไปในอนาคต

เป็นข้อเสียอย่างมากที่ผลกำไรของเราหดตัวลง ขณะที่ขนาดบริษัทของเราใหญ่ขึ้น (ช่วงที่พอร์ตยังเล็ก เงินน้อย ผลตอบแทนจะดีกว่าช่วงที่พอร์ตใหญ่ขึ้น ทำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยลดลง---ผู้แปล) แนวโน้มที่ไม่น่ายินดีนี้จะยังเป็นไปอย่างนั้นในอนาคต แต่ก็แน่ละ Berkshire มีธุรกิจที่โดดเด่นมากมาย และมีผู้บริหารที่ได้รับการอบรมฝึกฝนมาโดยเฉพาะ ภายใต้วัฒนธรรมของเราที่ได้ช่วยดึงเอาพรสวรรค์ของพวกเขาออกมาให้มากที่สุด Charlie และผมเชื่อว่าองค์ประกอบเหล่านี้จะสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าระดับเฉลี่ยได้อย่างต่อเนื่องต่อไป และจะยิ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพวกเขา รวมทั้งผลประโยชน์ในอนาคตของพวกเรา หรือไม่อย่างนั้นแล้ว อย่างน้อยที่สุดครั้งหนึ่งมันก็จะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มั่นคงของเรา

สิ่งที่เราจะไม่ทำ

นานมาแล้ว Charlie ได้พูดถึงจุดมุ่งหมายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาว่า “ทั้งหมดที่ผมอยากจะรู้ก็คือที่ไหนที่ผมจะไปแล้วตาย ผมก็จะไม่ไปที่แห่งนั้น” นั่นเป็นวิสัยทัศน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Jacobi นักคณิตศาสตร์ชาวปรัสเซียนผู้มีชื่อเสียง ผู้ที่ให้ข้อคิดไว้ว่า “Invert, always invert” (จงเดินทวนกระแส—ผู้แปล) เป็นวิธีเบื้องต้นในการแก้ปัญหายากๆ (ผมบอกได้เลยว่าการทำให้ถึงจุดหมายด้วยการเดินทวนกระแสนั้นได้ผลในระดับที่ดีทีเดียว: แนะนำให้ร้องเพลงคันทรีถอยหลังให้ได้ แล้วคุณจะได้มาซึ่งรถ บ้าน และภรรยาอย่างรวดเร็ว

นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการนำแนวคิดของ Charlie มาใช้กับ Berkshire

• Charlie และผมหลีกเลี่ยงธุรกิจใดๆ ที่เราไม่สามารถประเมินอนาคตของมันได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ของมันจะน่าตื่นเต้นสักเพียงใดก็ตาม ในอดีตนั้นธุรกิจต้องการคนประเภทที่จะตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นการเติบโตที่น่าเหลือเชื่อทั้งหลาย เช่น ธุรกิจรถยนต์ (ทศวรรษ 1910) อากาศยาน (ทศวรรษ 1930) และโทรทัศน์ (ทศวรรษ 1950) แต่อนาคตนั้นยังไม่แน่นอน เพราะยังมีความเคลื่อนไหวต่างๆ จากการแข่งขันในตลาด ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบริษัทที่เข้ามาในอุตสาหกรรม แม้ว่าผู้ที่อยู่รอดอาจจะพยายามหนีให้รอดพ้นจากสภาวะบาดเจ็บแล้วก็ตาม

แค่เพราะว่า Charlie และผมสามารถมองเห็นการเติบโตที่ผิดปกตินี้ได้อย่างชัดเจนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งนั้น ไม่ได้แปลว่าเราสามารถตัดสินได้ว่าอัตรากำไรหรือผลตอบแทนจากการลงทุนจะเป็นเท่าใด เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำ ที่ Berkshire นี้ เราจึงยึดอยู่กับธุรกิจที่สามารถคาดการณ์ความสามารถในการทำกำไรได้ในอนาคต และมีที่มาอย่างเป็นเหตุเป็นผล สามารถอธิบายได้ ไม่ฉะนั้นแล้วเราอาจจะทำความผิดอย่างมหนันต์

• เราจะไม่ขึ้นกับใครในบรรดาคนแปลกหน้าผู้ใดผู้หนึ่ง –ใหญ่เกินไปก็ล้มง่าย-- และแน่นอนว่าการถอยหลังไม่ใช่จุดยืนของ Berkshire แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราจะจัดการธุรกรรมของเราด้วยตัวเองอย่างระมัดระวัง จนกว่าสภาพคล่องจะท่วมท้นหรือเกินความต้องการใช้เงินสดของเราจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นสภาพคล่องของเราก็จะถูกเติมเต็มสม่ำเสมอด้วยบ่อน้ำมันจากธุรกิจที่มีอยู่อย่างหลากหลายของเรา

เมื่อครั้งที่ระบบการเงินก้าวเข้าสู่ภาวะชะงักงันเหมือนหัวใจหยุดเต้นในเดือนกันยายน 2008 Berkshire ได้เป็นผู้เสริมด้านสภาพคล่องทางการเงินและการลงทุนให้กับระบบ ครั้นเมื่อเกิดวิกฤติขั้นร้ายแรง เราไม่ลังเลที่จะเทเงิน 15.5 พันล้านดอลล่าร์เข้าไปในระบบเศรษฐกิจโลก มิฉะนั้นแล้วประเทศเราคงต้องหวังพึ่งพาความช่วยเหลือจากบรรดากลุ่มประเทศต่างๆ อย่างแน่นอน

ด้วยเงินสดทั้ง 9 พันล้านดอลล่าร์ในมือ เราสามารถควักให้การสนับสนุนเงินทุนให้กับธุรกิจของอเมริกาซึ่งควรต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษและต้องได้รับการปกป้องดูแลก่อนเป็นอันดับต้นๆ จากความมั่นคงและการเป็นที่พึ่งพาได้ของเรา–โดยปราศจากการประวิงเวลาหรือรอคอย---เพื่อรักษาสภาพเศรษฐกิจของอเมริกา และเงินที่เหลืออีก 6.5 พันล้านดอลล่าร์นั้นมีเพื่อให้การซื้อ Wrigley ซึ่งเป็นการต่อรองที่สมบูรณ์ปราศจากอาการสะดุดหกล้ม ขณะที่ทั่วหัวระแหงกำลังโดนอาการตื่นกลัวจากวิกฤติเศรษฐกิจเข้าครอบงำ

เราจ่ายในราคาสูงเอาการเพื่อที่จะรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินของเราเอาไว้ เงินจำนวน 2 หมื่นล้านดอลล่าร์ที่เพิ่มระดับการถือครองสภาพคล่องเงินสด (ที่เรามักถือไว้โดยปกติตามธรรมเนียม) นั้นให้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเล็กน้อยแต่ทว่าเรากลับนอนหลับได้อย่างสนิทตามากขึ้น

• เราพยายามที่จะให้บริษัทลูกๆ ของเราดำเนินงานด้วยตัวเอง โดยปราศจากการแนะนำ ดูแล หรือจับตามองไม่ว่าจะในระดับใดๆ นั่นหมายความว่าบางครั้งจะมีการจัดการปัญหาที่ช้าเกินไป ทั้งการดำเนินงานและตัดสินใจด้านการลงทุน Charlie และตัวผมที่ไม่เห็นด้วยเลยหลังจากที่เราได้มีการปรึกษากัน บรรดาผู้จัดการของเราส่วนใหญ่มีอิสระอย่างเต็มที่ ตามที่เราอนุญาตให้มีได้ เราให้ความไว้วางใจและความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เราพยายามรักษาทัศนคติดั้งเดิมเมื่อเริ่มก่อตั้ง ที่ไม่อาจประเมินค่าได้ รวมทั้งสิ่งนี้ยังหาได้ยากในองค์กรใหญ่ๆ ทั่วไป เรายินดีเผชิญกับต้นทุนที่มองเห็นอย่างยากลำบากจากการตัดสินใจที่ย่ำแย่ของผู้ถือหุ้น ยังดีเสียกว่าจะต้องลำบากยากเข็ญเมื่อเจอกับต้นทุนที่มองไม่เห็นมากมาย อันมาจากการตัดสินใจล่าช้าหรือไม่ก็จากการบริหารที่กดขี่เข้มงวดมากจนเกินไป

ด้วยการได้มาซึ่ง BNSF ของเรานั้น ขณะนี้เรามีพนักงาน 257,000 คน และกว่าร้อยหน่วยงานที่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป เราหวังว่าแต่ละหน่วยจะมีผู้ร่วมงานเพิ่มขึ้นมาอีก แต่เราจะไม่อนุญาตให้ Berkshire กลายเป็นเสาหลักใหญ่เพียงต้นเดียวที่ฟาดฟันบุกรุกการทำงานของคณะกรรมการบริษัท --รวมทั้งทำให้มีการเสนองบประมาณและการจัดการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน-- แทนที่จะทำอย่างนั้น เราวางแผนที่จะดำเนินการโดยการรวมเอาธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ถูกแยกส่วนเข้ามาไว้ด้วยกัน การตัดสินใจของผู้บริหารบริษัทลูกส่วนใหญ่นั้นอยู่ในระดับดำเนินการ โดย Charlie และผมจะจำกัดตัวเองให้อยู่เพียงในเรื่องการจัดสรรเงินทุน, การควบคุมความเสี่ยงของบริษัท, การเลือกสรรผู้จัดการ และการกำหนดค่าตอบแทนของพวกเขาเท่านั้น

• เราไม่เคยพยายามที่จะเข้าหา Wall Street เลย นักลงทุนที่ทำการซื้อขายหุ้นโดยฟังจากสื่อหรือความเห็นของนักวิเคราะห์นั้นไม่ใช่ตัวเรา แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเราต้องการหุ้นส่วนที่จะร่วมลงทุนกับเราใน Berkshire เพราะพวกเขาปรารถนาที่จะทำการลงทุนในระยะยาว รวมทั้งในธุรกิจที่พวกเขามีความเข้าใจได้ง่ายด้วยตัวเอง และเพราะว่าพวกเขาสามารถกระทำตามนโยบายใดๆ ที่เขาเห็นด้วยได้ ซึ่งถ้าหาก Charlie และผมอยากจะลงทุนในธุรกิจที่เสี่ยงอยู่สักหน่อยกับหุ้นส่วนเพียงไม่กี่คน เราจะหาบุคคลที่เชี่ยวชาญมาร่วมกับเราด้วยเพื่อรับรองในความเสี่ยงนั้น การรับรู้ถึงเป้าหมายโดยทั่วไปและการร่วมชะตากรรมกันทำเพื่อให้ธุรกิจนั้นออกมาดี ก็เปรียบเสมือนการแต่งงานร่วมชีวิตระหว่างเจ้าของบริษัทและผู้บริหารบริษัท ซึ่งการเพิ่มขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นไม่ได้เปลี่ยนความจริงในข้อนี้

• เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจตรงกันของสมาชิกผู้ถือหุ้น เราพยายามที่จะสื่อสารกับบรรดาเจ้าของโดยตรงและอย่างเป็นกันเอง เป้าหมายของเราก็คือการจะบอกคุณถึงสิ่งที่เราต้องการทราบ นอกจากนั้นแล้วเราพยายามโพสต์ข้อมูลทางการเงินรายไตรมาสและรายปีบนอินเตอร์เน็ตก่อนวันหยุดทำการ ด้วยเหตุนี้ การให้คุณและนักลงทุนอื่นๆ มีเวลามากเหลือเฟือระหว่างอยู่ในช่วง non-trade นั้นมีขึ้นเพื่อที่จะให้คุณย่อยข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกๆ มุมมองของธุรกิจ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถอธิบายหรือสรุปง่ายๆ ในย่อหน้าเดียวได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะทำตัวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพาดหัวหนังสือพิมพ์ให้นักข่าวตามเราในบางครั้งเท่านั้น

ปีที่แล้วเราพบว่าในกรณีหนึ่งของเรา ถึงการที่ตัดตอนข้อความใดข้อความหนึ่งของเราออกมาพูดนั้นสามารถทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ในจำนวนคำ 12,830 คำที่ปรากฏอยู่ในรายงานประจำปี มาเหลืออยู่แค่ประโยคที่ว่า “เรามั่นใจ—จากตัวอย่าง—ที่บริษัทต้องก้าวเดินไปแบบถูลู่ถูกังตลอดปี 2009 –หรืออาจจะนานกว่านั้น—แต่ข้อสรุปนี้ไม่ได้บอกเราว่าตลาดจะรุ่งหรือร่วง” สื่อมวลชนหลายสำนักก็ป่าวประกาศส่วนแรกของประโยคออกไป โดยที่ไม่สนใจว่ามันจะจบลงอย่างไร ผมคิดว่าคนเหล่านี้เป็นนักข่าวที่แย่มาก ที่ให้ข้อมูลกับผู้อ่านหรือผู้ชมแบบผิดๆ ว่า Charlie และผมได้พยากรณ์สิ่งที่ไม่ค่อยจะดีนักเกี่ยวกับตลาดหุ้น แม้เราจะไม่ได้พูดแบบนั้นในประโยคดังกล่าว ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม เราจึงทำให้กระจ่างไปเลยว่าเราไม่ได้ทำนายอะไรทั้งนั้นในตลาด แต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อนักลงทุนบางรายที่ถูกทำให้เข้าใจผิดต้องจ่ายจนอาน The Dow ปิดที่ 7,063 และจบสิ้นปีที่ 10,428

การให้ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้จะทำให้คุณสามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดผมจึงชอบที่จะทำให้การสื่อสารกับคุณยังคงเป็นการสื่อสารโดยตรงและสมบูรณ์ครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

**************************
ลองย้ายมาเจาะจงที่หน่วยธุรกิจของ Berkshire ดูบ้าง เรามีธุรกิจหลักแยกเป็น 4 ประเภทหลัก ที่แตกต่างกันไปในบัญชีงบดุลและบัญชีงบกำไรขาดทุน ดังนั้นการจะรวมเข้าไว้ด้วยกันตามมาตรฐานทางการเงินก็เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการวิเคราะห์ เราจึงแสดงออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจแยกกันออกไป และนั่นคือสิ่งที่ Charlie และผมมองมัน...


(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป)






(MBA mag.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น