Mark Mobius กูรูนักลงทุนเก็งหุ้นตลาดเกิดใหม่อาจพุ่งอีก 40%
ตลาดหุ้นแผ่ว ขณะน้ำมันบวกสวนหลังตัวเลขสต็อกลด
ประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนฉุดหุ้นในกลุ่มธนาคารและ property ในตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ นำโดย ดัชนีนิคเคอิของญี่ปุ่นที่เจอกับกระแสการ downgrade หุ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มเติมจากปัจจัยในเรื่องการเพิ่มทุน ความกังวลส่วนหนึ่งเริ่มจากบริษัทที่ชื่อว่า Tokyo Tatemono มีแผนที่จะขายหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 45,600 ล้านเยน ในขณะเดียวกัน ทางโบรกเกอร์ อย่าง JPMorgan Chase ก็ได้ปรับลดคำแนะนำการลงทุนในหุ้นตัวนี้ไปพร้อมๆ กันด้วย
ข่าวเพิ่มทุนก็เปรียบเสมือนการจุดประกายให้เกิดความกังวลในเรื่องมูลค่าหุ้นที่จะลดลง ภายหลังจากการออกขายหุ้นสิ้นสุดลง หรือที่เรียกว่า Dilution effect ซึ่งอาจจะมีอีกหลายบริษัทที่จะประกาศแผนในแบบเดียวกันนี้ตามมา
ทางด้านหุ้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง ก็ถูกกระทบหลังจากรัฐบาลของเมืองเสิ่นเจิ้นในจีน ประกาศจะปรับขึ้นภาษีสำหรับธุรกิจ Property Tax นี้ ซึ่งที่ปรึกษาของธนาคารกลางรายหนึ่งก็บอกว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญในการรักษาความสมดุลระหว่างภาคการลงทุนและความต้องการผู้บริโภค
อย่างไรก็ดี หุ้นเทเลคอมในเอเชียก็บวกขึ้นได้ นำโดย China Mobile ผู้ให้บริการโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อดูจากมูลค่าตลาด เมื่อประธาน คือ นาย หวัง เจี่ยน โจว บอกว่า จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์ระบบ 3G ของตนจะพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 3 ล้านคนในสิ้นปีนี้ เทียบกับตัวเลขผู้ใช้ 1.66 ล้านคน ณ สิ้นเดือนกันยายน
ข้ามฝั่งมาที่อเมริกา ตลาดหุ้นก็ถูกกดดันจากตัวเลขในตลาดบ้าน ที่ยอดการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเดือนตุลาคมออกมาลดลงผิดคาด ขณะตลาดเองก็ยังมีความกังวลในเรื่องมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านที่กำลังจะหมดอายุลง และรอดูอยู่ว่ารัฐบาลประธานาธิบดี บารัค โอบามา จะต่ออายุมาตรการดังกล่าวออกไปอีกหรือไม่
รายงานสภาวะตลาดบ้านล่าสุดของสหรัฐฯ นี้ได้ยืนยันความเชื่อที่ว่า เศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถทรงตัวได้ดีนัก และการถอนนโยบายกระตุ้นต่างๆ ออกอย่างรวดเร็วจนเกินไปย่อมอาจมีผลที่รุนแรงตามมา
สำหรับภาพตลาดโดยรวมก็ถูกกดดันจากแรงขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย ผู้ผลิตซอฟท์แวร์ออกแบบวิศวกรรมรายใหญ่ อย่าง Autodesk ที่ราคาหุ้นดิ่งลง 10% หลังบริษัทคาดการณ์กำไรในไตรมาส 4 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดกาณ์ไว้ และยังส่งสัญญาณว่าการฟื้นตัวของธุรกิจอาจไม่ราบเรียบนัก นอกจากนั้น ผู้ผลิตซอฟท์แวร์บริหารลูกค้าชื่อดัง คือ Salesforce.com ราคาหุ้นก็ร่วงลงเช่นกัน จากเหตุผลตัวเลขคาดการณ์กำไรไตรมาสปัจจุบันของบริษัทไม่สูงเหมือนอย่างที่ตลาดคาด
อย่างไรก็ดี หุ้นธนาคาร อย่าง Bank of America กลับพุ่งสวนขึ้นมาได้ถึงกว่า 3% หลังมหาเศรษฐี John Paulson ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ชื่อดังบอกว่า ราคาหุ้นแบงก์ยักษ์ใหญ่นี้จะพุ่งขึ้นถึงเกือบสองเท่าภายในสิ้นปี 2554 หลังจากที่ผ่านพ้นวังวนของการล้างหนี้สูญและเห็นโอกาสที่กำไรจะเติบโตได้ดีอีกครั้ง
ด้านราคาน้ำมัน ก็ขยับมุ่งสู่ 80 เหรียญต่อบาร์เรลอีกครั้ง หลังตัวเลขสต็อกสัปดาห์ล่าสุดออกมาลดลงผิดไปจากที่ตลาดคาด เนื่องจากสภาวะการกลั่นและการนำเข้าที่ชะลอตัว
กูรูนักลงทุนเก็งหุ้นตลาดเกิดใหม่อาจพุ่งอีก 40%
Mark Mobius เป็นกูรูนักลงทุนชื่อดังอีกคนหนึ่งที่ออกมาเปิดเผยมุมมองทางด้านบวกสำหรับหุ้นใน Emerging markets โดย Mobius มีความเห็นว่าตลาดหุ้นบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน มีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 30-40% ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ระดับหนี้ภาครัฐที่ลดลงจะเป็นแรงหนุนต่อผลประกอบการภาคธุรกิจ
Mobius ซึ่งเป็นประธานของบริษัท Templeton Asset Management ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เปิดเผยว่า เขาได้เพิ่มระดับการลงทุนในหุ้นของตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า BRICs ในฐานะ 4 ประเทศกำลังพัฒนา ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด
และความน่าสนใจก็สะท้อนได้จากผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีที่สูงกว่าทุกตลาด นำโดย รัสเซีย ที่ดัชนีหุ้น RTS พุ่งขึ้นกว่า 130% ทำสถิติสูงสุดถ้าเทียบกับดัชนีตลาดอื่นๆ ทั้งหมดในโลกจำนวน 89 แห่ง ขณะที่ตลาดหุ้นบราซิล จีน และอินเดีย ก็วิ่งขึ้นได้มากกว่า 75% แล้ว
ผู้บริหารกองทุนรุ่นลายครามผู้นี้ยังบอกด้วยว่า แม้การปรับตัวลงอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นอาจจะเกิดขึ้นได้บ้างแม้ในสภาวะตลาดกระทิงเช่นนี้ แต่นั่นก็หมายถึงโอกาสที่นักลงทุนควรจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเข้าซื้อไว้ด้วย
Mobius มองว่า ภาคเศรษฐกิจที่จะมีการขยายตัวอย่างโดดเด่นที่สุดใน Emerging markets นี้ก็คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยหุ้นในจีนและบราซิลยังเรียกว่ามีมูลค่าถูกที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเมื่อเทียบกับสินทรัพย์
ปัจจุบันกองทุน Templeton ของ Mobius ลงทุนอยู่ในเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ BRICs อยู่แล้วราวๆ 2,000 ล้านเหรียญ
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น