วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จดหมายน้อยฉบับล่าสุดของบัฟเฟต | ตอนสุดท้าย: ว่าด้วยการประชุมประจำปี


...ในมุมมองของผม ผู้บริหารสถาบันการเงินใหญ่ๆ นั้นจะต้องโดนกำจัดจุดอ่อนหรือลาออกไป เมื่อเขาไม่สามารถที่จะยืนยันถึงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ได้ในการควบคุมความเสี่ยง หรือหากเขานั้นไม่สามารถดูแลงานนั้นได้ เขาก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องหางานใหม่...

และถ้าเขาล้มเหลว (ซึ่งต้องเกี่ยวพันกับที่รัฐบาลจะต้องใส่เงินหรือค้ำประกันให้ทันที) ผลตอบแทนที่เขาและบอร์ดจะได้รับก็ควรรุนแรงตามไปด้วย

ไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนที่ดำเนินงานอย่างลวกๆ กับสถาบันการเงินใหญ่ๆ ของประเทศเลย แต่พวกเขาก็ยังต้องแบกปัญหา โดยสินทรัพย์มูลค่ากว่า 90% (หรือมากกว่านั้น) ที่พวกเขาถือครองอยู่ ถูกกวาดหายไปในวิกฤติครั้งที่ผ่านมา รวมๆ แล้วพวกเขาเสียเงินไปประมาณ 500 พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดในวิกฤติ 4 ครั้งในรอบสองปี และการที่พูดกันมากว่างวดนี้ บรรดา เจ้าของ ได้รับการ “อุ้ม” (Bail-out) นั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยตรงประเด็นสักเท่าใดนัก
ทั้งผู้บริหารและกรรมการบริษัททั้งหลายที่บริหารล้มเหลวกลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย ทรัพย์สมบัติของพวกเขาอาจจะลดลงด้วยหายนะที่พวกเขาก่อขึ้นเอง และทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก แต่พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายฟู่ฟ่า พฤติกรรมอย่างนี้เองที่ผู้บริหารและกรรมการบริษัทจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยน เมื่อสถาบันและประเทศกำลังเข้าสู่อันตรายด้วยความประมาทของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะต้องได้รับบทเรียนราคาแพงทีเดียว หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ได้รับเงินชดเชยหรือไม่ได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาล

ทั้งผู้บริหารและกรรมการบริษัท (ในหลายกรณี) ได้รับผลประโยชน์ระยะยาวจากแครอททางการเงินที่มีหัวโตเกินขนาด (ซึ่งหมายถึงอะไรก็ตามที่มีความหมายมาก และตอนนี้ก็จำเป็นสำหรับการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการจ้างงานโดยรวมไปแล้ว--ผู้แปล) นั่นก็คือว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องใช้ “ไม้เรียว” กับพวกเขาบ้าง

ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง (การถกเถียงอันเผ็ดร้อนในที่ประชุมกรรมการบริษัท)

สาขาบางสาขาของเรานั้นสามารถทำเงินสดให้เพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยเมื่อปีที่แล้ว แต่ดีลขั้นเทพของเราที่มีกับ BNSF นั้นทำให้เราต้องจ่ายออกไปเป็นหุ้นของ Berkshire ถึงกว่า 95,000 หุ้น (การแลกหุ้นกัน—ผู้แปล) ซึ่งคิดเป็น 6.1% ของหุ้นที่มีอยู่ Charlie และผมสนุกสนานกับการจ่ายหุ้นของ Berkshire มากพอๆ กับตอนที่เราเพลิดเพลินเมื่อโดนหมอส่องกล้องเข้าไปสำรวจในลำไส้ใหญ่ของเรา

ทำไมน่ะหรือ? เหตุผลที่เราทำใจไม่ได้นั้นง่ายมาก เพราะเมื่อเราไม่ได้คิดไม่ได้ฝันโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับการขายหุ้น Berkshire ในราคาตลาดอยู่แล้ว แล้วเหตุใดเล่าเราจึงต้อง “ขาย” ส่วนที่มีความหมายต่อบริษัทในราคาที่ไม่คุ้มด้วยการจ่ายหุ้น (แลก) ให้กับผู้ร่วมทุนด้วย

ในการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อเสนอซื้อหุ้นนั้น รู้กันดีว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทเป้าหมายจะค่อนข้างพุ่งเป้าไปที่ราคาตลาดของหุ้น ซึ่งผู้ที่ร้องขอเป็นเจ้าของอยู่ได้เสนอราคาให้แก่พวกเขา แต่พวกเขาก็ยังจะอยากให้การทำธุรกรรมนั้นสร้างมูลค่าที่แท้จริงให้แก่หุ้นที่พวกเขาเป็นเจ้าของ--บางทีพวกเขาจะหยุด เมื่อหุ้นที่คาดหวังนั้นมีการขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริง มันเป็นไปได้สำหรับผู้ซื้อที่จะต่อรองซื้อหุ้นทั้งหมด คุณย่อมรู้ดีว่าเราไม่สามารถแลกหุ้นที่มีมูลค่าตกต่ำกับหุ้นมูลค่าเต็มได้โดยที่ไม่ทำร้ายบรรดาผู้ถือหุ้นเดิมของคุณ

ลองจินตนาการดูว่ามีบริษัท A และบริษัท B ที่มีขนาดใหญ่พอๆ กันและทั้งสองธุรกิจนั่นมีมูลค่าที่แท้จริงต่อหุ้นอยู่ที่ 100 เหรียญต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นของทั้งสองขายที่ 80 เหรียญต่อหุ้น ผู้บริหารของบริษัท A มีความมั่นใจมากและขาดความเฉลียวฉลาด เสนอหุ้นจำนวน 1.25 หุ้นของ A สำหรับทุกๆ 1 หุ้นของ B หากจะพูดให้ถูกก็คือ B มีมูลค่า 100 เหรียญต่อหุ้น และเขาจะเลิกบ่นทันทีแม้ว่าที่เขาให้ไปนั้นจะทำให้ผู้ถือหุ้นมีต้นทุนของมูลค่าหุ้นถึง 125 เหรียญต่อ 1 หุ้น

หากผู้บริหารมีหัวทางการค้าดีๆ และการต่อรองเสร็จสมบูรณ์ ผู้ถือหุ้นของ B จะจบลงด้วยการเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยรวม 55.6% ของทั้ง A และ B และผู้ถือหุ้นของ A จะเป็นเจ้าของเพียง 44.4% ไม่ใช่ทุกคนในบริษัท A แต่ควรต้องระวังกรณีที่จะขาดทุนจากการทำธุรกรรมนี้ให้ดี

แต่เมื่อราคาหุ้นของบริษัทที่จะเข้าไปเทคโอเวอร์เกิดซื้อขายกันสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง มันจะกลายเป็นคนละเรื่อง เพราะการแลกหุ้นในกรณีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเขา นั่นจึงเป็นที่มาของพวกเจ้าเล่ห์ทั้งหลายที่มักเข้าซื้อคนอื่นในยุคฟองสบู่ด้วยการจ่ายเป็นหุ้นให้ ยิ่งราคาหุ้นของพวกเขาสูงขึ้นเท่าใดเขายิ่งได้ประโยชน์ เพราะมันเหมือนกันการพิมพ์แบงก์ปลอม ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เป็นช่วงที่มีการเล่นแร่แปรธาตุแบบนี้กันแยะ คือประเภทที่ชอบเอากากาศไปแลกกับสินทรัพย์ (air-for-assets acquisitions)

อันที่จริง กิจการยักษ์ใหญ่หลายกิจการก็เป็นผลลัพธ์ของการนั้น (แต่สังคมโดยรวมจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพวกเหล่านั้นว่าหลังจากทำแบบนั้นกันแล้ว พวกเขาได้เสียยังไงบ้าง แม้ในแวดวงซุบซิบจะรู้กันไปทั่ว)

ในการเข้าซื้อ BNSF ครั้งนี้ ผู้ถือหุ้นฝ่ายผู้ขายเขาประเมินมูลค่าหุ้นของเขาและเสนอเรามาที่ 100 เหรียญฯ ต่อหุ้น ต้นทุนฝ่ายเราอาจสูงกว่านั้นนิดหน่อย เพราะเราจ่ายชำระเป็นหุ้นของ Berkshire ราวๆ 40% ของ 100 เหรียญฯ ซึ่ง Charlie และผมก็เชื่อว่ามันจะสูงกว่าราคาตลาด แต่โชคดีที่เราถือหุ้น BNSF อยู่ก่อนจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่เราซื้อในตลาดหุ้นเป็นเงินสด (ในราคาต่ำกว่านี้) ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของเราตกอยู่ราวๆ 30% เท่านั้น สำหรับหุ้นของ Berkshire ที่จ่ายออกไปครานี้

สุดท้ายแล้ว Charlie และผมตัดสินใจว่าการสูญเสียผลประโยชน์จากการจ่าย 30% ของราคาหุ้นจะถูกชดเชยด้วยการได้มาซึ่งธุรกิจที่จะทำให้เรามีกระแสเงินสดหมุนเวียน 22 พันล้านเหรียญในธุรกิจที่เราเข้าใจและมีความชื่นชอบในระยะยาว ซึ่งเป็นคุณค่าที่แท้จริงที่ Matt Rose ซึ่งเป็นผู้ที่เราไว้ใจและชื่นชมจะสามารถทำให้เราได้ เรายังชอบที่จะคาดการณ์ในการลงทุนระยะยาวที่มีอัตราการตอบแทนที่เป็นเหตุเป็นผล แต่กระนั้นแล้วการตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังต้องรอในระยะใกล้อยู่ดี และหากเรายังอยากที่จะได้หุ้นตัวอื่นๆ เพื่อที่จะอยากได้สิ่งเพิ่มเติมอีก ก็เป็นความจริงที่เรียกได้ว่าไม่เข้าท่าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งที่เราได้รับมาแล้วนั้นให้เรามากเกินกว่าที่เราจะได้แล้ว

ผมเคยเข้าประชุมกรรมการมาแล้วเป็นโหลๆ เพื่อพิจารณาข้อเสนอในการซื้อขายกิจการ และบ่อยครั้งที่บรรดากรรมการมักได้รับคำแนะนำจากพวกวาณิชธนากรค่าตัวสูงลิ่วเหล่านั้น (ให้ตายเหอะ ไม่มีคนประเภทอื่นแล้วหรือยังไง!) แทบทุกครั้ง วาณิชธนกรเหล่านั้นต้องนำเสนอบทวิเคราะห์หามูลค่าของกิจการที่เราจะเข้าไปซื้อ และมักจะพูดหว่านล้อมว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันสูงเกินกว่าราคาตลาดที่เราต้องควักจ่ายมากเลย ตามประสบการณ์ของผมกว่า 50 ปี ที่นั่งอยู่ในบอร์ดของบริษัทต่างๆ ผมไม่เคยได้ยินวาณิชธนากร (หรือแม้แต่ผู้บริหาร) คนใดเลยที่จะถกเถียงกันเรื่องมูลค่าของสิ่งที่เรากำลังจะ “ให้” ออกไป อย่างจริงจังเมื่อดีลนั้นจำเป็นต้องจ่ายชำระด้วยหุ้นของกิจการที่จะเข้าซื้อ พวกเขามักจะใช้ราคาตลาดของหุ้นเป็นตัวตั้ง เพราะเอาง่ายเข้าว่า

ถ้าพวกเขาฉุกคิดเสียหน่อย และหันมาพูดกันถึงด้านผู้ซื้อกันบ้าง หันมาวิเคราะห์มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของฝั่งผู้ซื้อกันอย่างจริงจังบ้าง พวกเขาจะพบว่าหุ้นที่จะต้องจ่ายชำระออกไปนั้นมันไม่พอ แต่พวกเขาก็ยังปล่อยให้ดีกดำเนินต่อไป

เมื่อใดก็ตามที่หุ้นกลายเป็นเงิน โดยต้องใช้มันไปเพื่อชำระราคาค่าหุ้นในการเข้าซื้อกิจการ และเมื่อบรรดาคณะกรรมการถูกเป่าหูจากบรรดาที่ปรึกษาทางการเงินมาแล้ว เมื่อนั้น คุณควรต้องจ้างที่ปรึกษาอีกรายหนึ่งเข้ามาให้ความเห็นแย้งกับการเข้าซื้อกิจการครั้งนั้น โดยผูกค่าธรรมเนียมของรายหลังนี้ไว้กับการที่ดีลนั้นจะไม่สำเร็จ (หมายความว่าเมื่อดีลนั้นล้มพวกเขาจะได้ค่าธรรมเนียมมาก---ผู้แปล) และเพื่อที่จะแก้ไขสิ่งร้ายแรงทำนองนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก คำแนะนำของเราเกี่ยวกับการพิจารณาจ้างที่ปรึกษาทางการเงินก็คือ “อย่าถามช่างตัดผมหากคุณต้องการจะตัดผม”

ผมทนไม่ได้แล้วที่จะเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนานมาแล้วให้คุณฟัง เราเป็นเจ้าของหุ้นที่อยู่ในธนาคารใหญ่ มีการจัดการที่ดี กว่า 10 ปีมาแล้วที่มันถูกคุ้มครองด้วยกฎหมายจากการซื้อกิจการ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อกฎหมายถูกเปลี่ยนและธนาคารของเราก็เริ่มมองหาการซื้อหุ้นที่เป็นไปได้ในทันที บรรดาผู้จัดการเหล่านั้น—พวกเขาล้วนเป็นคนดีและเป็นนายธนาคารที่เก่ง---ปุปปับชนิดไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งจะเคยพบเห็นสาวๆ

ไม่นานนักพวกเขาก็พุ่งเป้าไปที่ธนาคารขนาดเล็ก ที่มีการจัดการที่ดีและมีลักษณะอยู่ในขอบเขตที่มีผลตอบแทนในส่วนของผู้ถือหุ้น, ส่วนต่างกำไร, คุณภาพในการกู้ยืม หรืออื่นๆ ดีเหมือนกัน แต่หุ้นธนาคารของเราขณะนั้นซื้อขายกันในราคาที่ต่ำมาก (นั่นเป็นเหตุผลให้ Berkshire เข้าไปซื้อธนาคารแห่งนั้น) ซึ่งร่อนไปมาอยู่ใกล้ๆ มูลค่าหุ้นตามบัญชีและ P/E Ratio ก็ต่ำมากๆ โดยที่เจ้าของธนาคารขนาดเล็กที่ฝ่ายเราหมายปอง ก็เริ่มเล่นตัว โดยบอกว่ากำลังถูกธนาคารใหญ่ๆ หลายแห่งรุมจีบอยู่ด้วยการให้ราคาเกือบๆ 3 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังต้องการหุ้น ไม่ใช่เงินสด

แน่นอนว่าเพื่อนของเรายอมทำตามและตกลงในข้อต่อรองที่ทำลายมูลค่าหุ้นนี้ “เราอยากแสดงให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในกระบวนการล่า ไม่เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นเพียงการต่อรองเล็กๆ เท่านั้น” พวกเขาพูด ราวกับว่าอันตรายเพียงอย่างเดียวที่จะทำร้ายผู้ถือหุ้นได้จะเป็นเหตุผลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในเวลานั้นปฏิกิริยาของ Charlie ก็คือบอกว่า: “นี่เราควรจะยินดีใช่ไหม เพราะว่าหมาที่ทำสนามของเราเปรอะเปื้อนนั้นเป็นแค่ชิวาวา ดีกว่าจะเป็นเซ็นต์เบอร์นาด?”

เจ้าของธนาคารเล็กนั้นไม่โง่ ในที่สุดพวกเขาก็ยื่นข้อเสนอสุดท้ายว่า “หลังจากควบรวมกิจการกันแล้ว” หากจะเกลาคำพูดให้มันมีชั้นเชิงขึ้นมาหน่อยก็คือ “ผมจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารของคุณ และมันจะแสดงถึงส่วนหนึ่งของความร่ำรวยของผมเพราะฉะนั้น คุณต้องสัญญากับผมว่าคุณจะไม่ต่อรองอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก”

แน่นอน การควบรวมกิจการครั้งนั้นจบลงด้วยความราบรื่น เจ้าของธนาคารเล็กที่ฝ่ายเราเข้าไปซื้อแห่งนั้นร่ำรวยขึ้น เราจนลง และบรรดาผู้จัดการแบงก์ ซึ่งขณะนี้กลายเป็นแบงก์ขนาดใหญ่ขึ้น ล้วนอยู่ดีมีสุขนับแต่นั้นมา

การประชุมประจำปี

แขกที่ดีที่สุดของเรากว่า 35,000 คน ที่เข้าร่วมการประชุมประจำปีเมื่อปีที่แล้ว ด้วยจำนวนบรรดาผู้ถือหุ้นของเราที่ขยายจำนวนออกไปเรื่อยๆ เราจึงหวังว่าปีนี้จะเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้นเราจะต้องสร้างโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ในการพบปะกันเป็นประจำนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามเรากระตือรือร้นในการเข้าร่วมประชุมของคุณเสมอ Charlie และผมต้องการที่จะพบคุณ ตอบคำถามของคุณ และ—ที่ดีที่สุดทั้งหมดทั้งปวงคือ---ให้คุณซื้อสินค้าจากธุรกิจของเราเยอะๆ

การประชุมปีนี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม เหมือนทุกครั้งที่ประตูจะเปิดต้อนรับที่ Qwest Center เวลา 00.07 น. และภาพยนตร์ตัวใหม่ของบริษัท Berkshire จะเริ่มฉายเวลา 08.30 น. และในเวลา 09.30 น. เราจะเข้าสู่ช่วงถาม-ตอบ (คั่นด้วยอาหารกลางวันที่ Qwest’s stands) และจะจบลงเวลา 15.30 น. หลังการพักผ่อนช่วงสั้นๆ แล้ว Charlie และผมจะเข้าร่วมประชุมประจำปีเวลา 15.45 น. หากคุณตัดสินใจที่จะกลับบ้านระหว่างช่วงถาม-ตอบ ก็กรุณาทำเช่นนั้นในขณะที่ Charlie กำลังพูดนะครับ (แล้วเขาจะพูดกระชับขึ้นอย่างรวดเร็ว)

เหตุผลที่ดีที่สุดที่จะออกไป แน่นอนว่าเพื่อจะไปช็อป เราจะช่วยคุณทำเช่นนั้นโดยเพิ่มพื้นที่ 194,300 ตารางฟุตที่เชื่อมต่อกับพื้นที่การจัดประชุมด้วยสินค้านับโหลจากบริษัทลูกของ Berkshire ปีที่แล้วหลายๆ ที่ทำลายสถิติยอดขาย แต่คุณทำได้ดีกว่านั้นครับ (คำเตือนแบบกันเอง: ถ้ายอดขายไม่ดี ผมจะล็อกประตูทางออกซะ)

GEICO จะมีบูธที่ดูแลโดยผู้ให้คำปรึกษาจำนวนมากจากทุกที่ทั่วประเทศ พวกเขาทุกคนพร้อมที่จะให้คำแนะนำกับคุณด้านการประกันภัยรถยนต์ ในกรณีส่วนใหญ่ GEICO สามารถให้ส่วนลดแก่ผู้ถือหุ้นได้ (ปกติ 8%) ข้อเสนอพิเศษนี้ได้รับการอนุญาตแล้ว

โดยผู้ตัดสินใจ 44 คนจาก 51 คนซึ่งเราดำเนินงานด้วย (ข้อเพิ่มเติมข้อหนึ่งคือ: ส่วนลดนี้จะไม่เพิ่มขึ้นหากคุณจะทำให้ผู้อื่น เช่นมอบให้แก่กลุ่มบางกลุ่ม) นำรายละเอียดต่างๆ ของประกันที่คุณมีอยู่และดูว่าเราจะช่วยประหยัดเงินคุณได้หรือไม่ อย่างน้อยก็สัก 50% ของคุณ และผมเชื่อว่าเราสามารถทำได้

แน่นอนว่าคุณต้องไปเยี่ยม Bookworm ด้วย ท่ามกลางหนังสือมากกว่า 30 เล่มและดีวีดีทั้งหลายก็ยังมีหนังสือใหม่สองเล่มที่ลูกชายผมเขียนด้วย นั่นคือของ Howard ชื่อ Fragile เป็นหนังสือที่มีรูปประกอบพร้อมบรรยายถึงชีวิตรอบโลกที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน และของ Peter ชื่อ Life Is what you make it พร้อมการเติมเต็มเมดเล่ย์นี้ด้วยการเปิดตัวเป็นครั้งแรกของพี่สาวผม Doris’s Biography โฟกัสเรื่องราวไปที่เรื่องราวของกิจกรรมการกุศล และยังมี Poor Charlie’s Almanack เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคู่หูของผมเอง หนังสือเล่มนี้แปลกอยู่อย่างคือยังไม่มีการโฆษณา แต่ยอดขายปีแล้วปีเล่าก็มียอดพิมพ์หลายพันครั้งจากทางอินเตอร์เน็ต (หากคุณต้องการให้ส่งหนังสือที่ซื้อมาก็มีที่บริการส่งใกล้ๆ กันนั้นพร้อมให้ทำการ)

หากคุณเป็นผู้ใช้จ่ายรายใหญ่ ไปเยี่ยมชม Elliott Aviation ที่ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของสนามบิน Omaha ในช่วงบ่ายถึง 17.00 น. ในวันเสาร์ ที่มีเครื่องบินความเร็วสูงที่จะทำให้หัวใจคุณเต้นแรงขึ้น

เอกสารที่แนบท้ายรายงานนั้นจะอธิบายว่าทำอย่างไรคุณจึงจะได้รับหนังสือรับรองการเข้าร่วมประชุมและกิจกรรมอื่นๆ สำหรับการจองเครื่องบิน โรงแรม และรถยนต์ก็เป็นอีกครั้งที่เราลงทะเบียนให้ใน American Express (800-799-6634) ที่จะให้ความช่วยเลือแก่คุณเป็นกรณีพิเศษ Carol Pedersen ผู้ที่จัดการในเรื่องนี้ทำหน้าที่ของเธอได้อย่างดีเยี่ยมในแต่ละปี และผมคิดว่าต้องเป็นเธอเท่านั้น ห้องของโรงแรมอาจจะหาได้ยากมาก แต่หากให้ Carol ช่วยคุณจะหาได้ทันที

ที่ Nebraska Furniture Mart ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ 77 เอเคอร์บนถนน 72th ระหว่าง Dodge และ Pacific เราจะมีมหกรรมลดราคา “สัปดาห์ Berkshire” อีกครั้ง เพื่อจะให้ได้ส่วนลดนั้นคุณจะต้องซื้อระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน ถึงวันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม และรวมทั้งคุณจะต้องแสดงหนังสือรับรองของคุณเสมอ ช่วงการลดราคานี้ยังครอบคลุมถึงสินค้าหลายตัวที่โดยปกติแล้วมีการผลิตที่พิถีพิถันและมีกฎเหล็กว่าจะไม่ลดราคา แต่ด้วยสปิริตของผู้ถือหุ้นของเรานั้นจะยกเว้นให้คุณเป็นกรณีพิเศษ เราปลาบปลื้มในความร่วมมือของพวกเขามาก NFM เปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม วันจันทร์ถึงเสาร์ และเวลา 10 โมงถึง 6 โมงเย็นของวันอาทิตย์, วันเสาร์ปีนี้จาก 5 โมงครึ่งถึง 2 ทุ่ม NFM นั้นมี Berkyville BBQ ให้กับแขกผู้รับเชิญทุกคนด้วย

ที่ Borsheims เรามีกิจกรรมเฉพาะสำหรับผู้ถือหุ้น 2 กิจกรรม กิจกรรมแรกเป็นการเลี้ยงต้อนรับแบบค็อกเทลจาก 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มในวันศุกร์ที่ 30 เมษายน และกิจกรรมที่สองคืองานกาล่าใหญ่ในวันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวกรุณาแสดงตัวว่าคุณเป็นผู้ถือหุ้นโดยแสดงบัตรเข้าประชุมหรือหนังสือแถลงการณ์ที่แสดงว่าคุณเป็นผู้ถือหุ้นของ Berkshire เข้ามากับพลอย ออกไปกับเพชร ลูกสาวผมบอกว่ายิ่งคุณซื้อมากเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งประหยัดมากเท่านั้น (จากซีรีส์ดังที่ฉายในอเมริกาเรื่อง kids say the darnedest things--ผู้แปล)

วันอาทิตย์ ที่ร้านค้าภายใน Borsheims Patrick Wolff แชมป์หมากรุกสองสมัยจะรอต้อนรับทุกคนที่มา—ใกล้ๆ กันนั้นเองก็จะมี Norman Beck นักดนตรีฝีมือไม่ธรรมดาจาก Dallas

การปฏิบัติอย่างพิเศษสุดกับผู้ถือหุ้นในปีนี้ก็คือการกลับมาของเพื่อนผม Arial Hsing นักปิงปองติดอันดับของทีมชาติ (และพนันได้เลยว่าต้องไปโอลิมปิกสักวันหนึ่ง) ตอนนี้อายุ 14 ปี Ariel เข้าร่วมการประชุมประจำปีเมื่อ 4 ปีที่แล้วและฆ่าผู้มาร่วมงานทุกคนรวมทั้งผมด้วย (คุณสามารถตามไปดูความขายหน้าของผมได้บน YouTube แค่พิมพ์ว่า Ariel Hsing Berkshire)

แน่นอนว่าผมได้วางแผนการกลับมาและจะพาเธอออกไปนอก Borsheims เวลาบ่ายโมงของวันอาทิตย์ มันจะเป็นการแข่งขันแมตซ์สามแต้ม แล้วพอผมทำให้เธอยอมสยบได้แล้ว ผู้ถือหุ้นทุกคนก็จะได้รับเชิญให้ลองเสี่ยงโชคคล้ายๆ การแข่งสามแต้มนั้นเช่นกัน ผู้ชนะจะได้รับกล่องขนม See’s candy ซึ่งเราจะมีอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพ แต่คุณจะเอากระป๋องไปเองก็ได้ถ้าคิดว่านั่นจะช่วยได้ (แต่มันไม่ช่วยอะไรหรอก)

ร้าน Gorat’s จะเปิดอีกครั้งสำหรับผู้ถือหุ้น Berkshire ในวันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคมและจะเสิร์ฟอาหารตั้งแต่บ่ายโมงจนถึง 4 ทุ่ม ซึ่งอย่างไรก็ตามในปีที่แล้วมีอุปสงค์อย่างท่วมท้น มากกว่าที่คาดไว้ในปีนั้น ผมจึงขอให้เพื่อนของผมซึ่งก็คือ Donna Sheehan จากร้าน Piccolo’s ร้านโปรดอีกร้านของผมให้เสิร์ฟอาหารให้ด้วยอีกที่หนึ่ง (รูทเบียร์ของเขาเด็ดจริงๆ) ผมวางแผนว่าผมจะกินอาหารจากทั้งสองร้านนี้เลย เพราะทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมามันทำให้ผมหิวมากจริงๆ และผมมีจานโปรดด้วยในแต่ละร้าน โปรดจำหากคุณต้องการจอง เบอร์โทรร้าน Gorat’s 402-551-3733 ในวันที่ 1 เมษายน (แต่ห้ามจองก่อน) และที่ Piccolo’s โทร. 402-342-9038

น่าสลดเป็นอย่างมากที่เราไม่สามารถจะรับแขกต่างชาติเป็นพิเศษได้ในปีนี้ เนื่องจากปีที่แล้วมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นถึงกว่า 800 คน และต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงครึ่งต่อคนในการแจกลายเซ็นของผม ตั้งแต่ที่เราคาดหวังให้มีการต้อนรับผู้เข้าเยี่ยมชมต่างชาติเพิ่มขึ้น Charlie และผมจึงตัดสินใจกันว่าเราต้องตัดกิจกรรมนี้ทิ้งไป แต่แน่ใจได้เลยว่าเรายินดีต้อนรับทุกๆ ชาติที่มาเสมอ

ปีที่แล้วเราเปลี่ยนวิธีการกำหนดการถาม-ตอบว่าคำถามใดที่ควรจะถาม ทำให้ผมได้รับจดหมายต่อว่าการจัดการแบบใหม่นี้เป็นกระบุง ดังนั้นเราจะใช้วิธีการเดิมอีกครั้ง คือมีนักหนังสือพิมพ์ด้านการเงิน 3 คน ถาม Charlie และผมขึ้นก่อนในช่วงถาม-ตอบ จากนั้นจึงเป็นคำถามของผู้ถือหุ้นที่ส่งเมล์ให้พวกเขา

นักข่าวและอีเมล์ของพวกเขาคือ Carol Loomis จาก Fortune ( cloomis@fortunemail.com This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it ) Becky Quick จาก CNBC ( BerkshireQuestions@cnbc.com This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it ) และ Andrew Ross Sorkin จาก The New York Times ( arsorkin@nytimes.com This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it ) จากคำถามที่ถูกส่งไปนักข่าวแต่ละคนจะคัดเลือกคำถามที่เขาหรือเธอตัดสินใจได้ว่าคำถามไหนสำคัญและน่าสนใจ พวกเขาฝากบอกกับผมว่าคำถามที่มีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้รับเลือกนั้นจะเป็นคำถามที่ไม่มากกว่า 1 หรือ 2 ข้อ (ในอีเมล์โปรดบอกให้พวกเขารู้ว่าคุณจะเปิดเผยชื่อหรือไม่หากจดหมายได้รับเลือกให้ถาม)

ทั้งผมและ Charlie ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อตอบล่วงหน้ามากนัก เรารู้แค่ว่านักข่าวจะเลือกขึ้นมาถามคนละข้อ นั่นคือสิ่งที่เราชอบ

เราจะมีการประชุมกันอีกครั้งตอน 8 โมง 15 ของวันเสาร์ด้วยไมโครโฟน 13 ตัว สำหรับผู้ถือหุ้นเพื่อจะถามพวกเขากันเอง ณ ที่ประชุม เราจะเลือกคำถามที่ถามจากนักข่าวที่เลือกจากผู้ถือหุ้น เราจะเพิ่มเวลาให้ 30 นาที และอาจจะมีเวลาเหลือพอสำหรับ 30 คำถามจากแต่ละกลุ่ม

ณ อายุ 86 และ 79 ปีของ Charlie และผมยังโชคดีที่ได้ทำตามฝันของเรา เราเกิดในอเมริกา มีพ่อแม่ที่ดีเยี่ยม ที่เห็นว่าเราควรมีการศึกษาที่ดี เรามีครอบครัวที่สวยงามและสุขภาพดี และได้ยีน “ธุรกิจ” ที่ทำให้เราก้าวหน้าในการมีประสบการณ์ที่มากมายมหาศาลจากผู้ที่ทำให้เราประพฤติตัวในสังคมได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเรายังได้ทำงานที่เรารักมาแสนนานที่ย่นย่อระยะทางให้เราด้วยพรสวรรค์และความร่วมมือที่น่ายินดี จริงๆ แล้วปีที่ผ่านๆ มา งานของเรากลายเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจมากขึ้น (ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเราถึงเต้นแท็ปมาทำงาน) ถ้ามันแย่ลง เรายินดีจะจ่ายชดเชยเพื่อที่เราจะได้มาทำงานเหมือนเดิม (แต่อย่าบอก Comp Committee นะครับ)

สำหรับพวกเรานั้นไม่มีอะไรสนุกไปกว่าการมารวมตัวกันของผู้ถือหุ้นในการประชุมประจำปีที่ Berkshire อีกแล้ว ดังนั้นมาร่วมงานกับเราในวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ Qwest for annual Woodstock for Capitalists ให้ได้นะครับ เราจะรอพบคุณที่นั่น



 
(จาก MBAmag)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น