พูดถึงชื่อ “ธนพงศ์พรรณ ธัญญรัตตกุล”
วันนี้อาจมีคนรู้จักเขาในวงจำกัด แต่วันข้างหน้า... มีแววไปได้ไกล
เมื่ออายุ 23 ปี หลังเรียนจบ แล้วไปเป็นลูกจ้างคนอื่นมา 1 ปี เขาเริ่มธุรกิจของตัวเองร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน มีเงินตั้งต้น 3 แสนบาทด้วยเป้าหมายที่กำไร 1 ล้านบาท วันนี้เขาอายุ 25 ย่าง 26 ปี กำเงิน 100 ล้านบาทไว้ในมือ พร้อมตั้งเป้าปีหน้าตัวเลข 400 ล้านบาท หรืออย่างต่ำ 200 ล้านบาทจะต้องเกิดอย่างแน่นอน
ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์
ธนพงศ์พรรณ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งบริษัทว่า เกิดจากความสนใจส่วนตัวที่ต้องการทำงานด้านออนไลน์เว็บไซต์ และโมบายแอพพลิเคชั่น จึงเริ่มด้วยการขายงานแบบโปรเจคให้องค์กรต่างๆ ต่อมาเมื่อเห็นมีทีท่าไปได้ดีจึงตั้งบริษัทขึ้น ทั้งเห็นเทรนด์โซเชียลมีเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐกระแสแรงมาก ก็คิดว่าไม่ช้าต้องเข้ามาไทยแน่นอน
“ตอนแรกที่ทำ ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องเติบโตมากเท่าวันนี้ แค่คิดว่าอยากทำ และชอบ คิดว่าเราทำได้เท่านั้นเอง ความกล้าที่จะเสี่ยงเกิดขึ้นจากความอยากทำล้วนๆ”
เขาเล่าว่า ผู้ที่คิดจะทำธุรกิจด้านนี้สิ่งสำคัญต้องเร็ว ถ้าไม่เร็วและเป็นผู้นำให้ได้ก่อนวันนี้ สุดท้ายจะมีคู่แข่งมากมาย วันนี้เขาเริ่มได้ก่อนจึงมั่นใจว่าหาคู่แข่งได้ยาก หากใครต้องการทำตามต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน คอนเทนท์เลียนแบบกันได้ แต่ระบบเลียนแบบไม่ได้
ทั้งนี้ธุรกิจโซเชียล มีเดียต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์หนึ่งที่จำเป็นและขาดไม่ได้คือวิศวกรต้องเชี่ยวชาญ ด้วยบีบี ไอโฟน ไอแพด ล้วนเป็นของใหม่ที่ทุกคนต้องเริ่มเรียนรู้กัน ไม่มีเรียนในตำรา ฉะนั้นใครที่เริ่มได้ก่อนคนนั้นได้เปรียบ ทุกอย่างต้องใช้การสั่งสมของประสบการณ์
ต้องกระโดด
เขาระบุว่า ความยากในการทำคือ ทำอย่างไรให้โตแบบก้าวกระโดด ธุรกิจแบบนี้โตแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้ ต้องทำให้โตที่สุดไม่เช่นนั้นคนอื่นจะก้าวแซงไปเป็นผู้นำแทน ในปีแรกแผนงานที่วางไว้คือ พยายามวางรากฐานให้แน่น ปีที่ 2 ทำผลงานให้เตะตา ส่วนปีต่อๆ ไป จะพยายามหาพาร์ทเนอร์ชิพเพื่อเสริมให้ธุรกิจแข็งแกร่ง
“ผมไม่ชอบทำงานที่ไปชนหรือไปแย่งรายได้กับใคร เราจะไม่แข่ง ไม่แย่งตลาดกับเจ้าอื่น แต่จะสร้างจุดเด่นในแบบของตัวเองและทำให้แข็งแกร่งมากที่สุด ที่ผ่านมาเราอยู่ได้เพราะความพอใจของลูกค้า และราคาที่สมเหตุสมผล”
บริษัทเขามี 5 หน่วยธุรกิจ ประกอบด้วย 1.Shoppening 2.WiKalenda 3. แพลตฟอร์ม ดีเวลลอปเม้นท์ 4.โมบาย แอพพลิเคชั่น 5.โซเชียลมีเดีย และออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง บนนิวมีเดียแพลตฟอร์ม ทั้งโซเชียล มีเดีย สมาร์ทโฟน แบล็คเบอร์รี ไอโฟน มือถือโอเอสแอนดรอยด์ รวมถึงไอแพด
เขากล่าวว่า เทรนด์ของโซเชียล มีเดียจะยังไม่หมดไปง่ายๆ แมสมีเดีย กำลังเปลี่ยนจากเทรดดิชั่นนอล มีเดีย เป็นออนไลน์มีเดีย ทั้งเห็นได้จากการเติบโตของสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์โมบายต่างๆ ต่อไปนิวมีเดียที่จะก้าวมาคาดว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตทีวีและทีวีดาวเทียม
"พูดง่ายๆ ทราฟฟิกอยู่ที่ไหน รายได้ก็อยู่ตรงนั้น โลกมันไร้พรมแดน แอพพลิเคชั่นอีโคโนมีมูลค่าตลาดมากถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ ต่อไปการสร้างรายได้จะเกิดจากแอพพลิเคชั่นเหล่านี้"
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าเทรนด์นี้จะทำให้บริษัทต้องปรับตัวมากนัก เพราะมีนโยบายชัดเจนว่า จะไม่ทำอะไรที่ไม่ถนัด ไม่โหนตามกระแสตลาดจนมากเกินไป หากจะทำจริงๆ คงทำร่วมกับพาร์ทเนอร์แทน
พร้อมประเมินแนวโน้มตลาดไทยว่า ยังไปไม่รอด จากพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยชอบของฟรี ฉะนั้นรายได้หลักของผู้พัฒนาต้องมาจากการโฆษณาล้วนๆ
“ในความคิดของผมๆ ไม่มองแค่ว่าเป็นตลาดไทย แต่มองรวมว่าเป็นทั้งอาเซียน เหมือนในยุโรปที่เขาไม่มองแค่เป็นประเทศนั้นประเทศนี้กันแล้ว ขณะนี้บริษัทของเราเริ่มวางรากฐาน Shoppening และ WiKalenda ที่ไทย และเริ่มเข้าไปคุยเพื่อหาพาร์ทเนอร์ในสิงคโปร์ เชื่อว่าหากคุยกันสำเร็จ จะใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนเพื่อปรับรูปแบบเป็นโลคอล และพร้อมใช้งานได้ทันที เป้าต่อไปคือที่มาเลเซีย”
ปรับแผนตลอดเวลา
ธนพงศ์พรรณ บอกว่า บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มฟีเจอร์และโซลูชั่นใหม่ๆ ให้แพลตฟอร์ม Shoppening และ WiKalenda ทุก 3 เดือน ปรับแผนงานโดยภาพรวมของบริษัททุก 6 เดือน ต่อไปยังมีแผนจะจับตลาดอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น โดยเข้าไปเสริมในลักษณะแนะนำโปรโมชั่น หรือเรคคอมเมนเดชั่น ไม่ใช่ตั้งตัวเป็นมาร์เก็ต เพลส แข่งกับรายใหญ่ที่มีอยู่
“แม้ว่าเกมจะเป็นแพลตฟอร์มที่นิยมที่สุด แต่ผมจะไม่เข้าไปจับเกมแน่นอน อย่างที่บอกผมจะไม่ทำอะไรที่ไม่ถนัด แต่จะขายความง่าย ดี และฟรี ในแบบของตัวเอง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเอ็น ยูสเซอร์ให้มากที่สุด”
พร้อมระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีหลากหลายทุกอุตสาหกรรมดังที่เคยทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมการส่งออก สยามพาร์คซิตี้ เป็นต้น
ส่วนอนาคตก็พร้อมจะลงทุนเพิ่มต่อเนื่อง ไม่ปรับลดจำนวนเงินลงจากเดิม แม้ภาวะการเมืองไม่นิ่งก็ไม่หวั่น สิ่งที่กลัวที่สุดคือผู้ใช้จะไม่พอใจในผลงาน กลัวจะโปรโมทสินค้าให้ลูกค้าได้ไม่ดีพอ แต่ไม่กลัวคู่แข่งจะเพิ่มขึ้น เพราะเชื่อว่า ยิ่งมากยิ่งดี ตลาดจะได้โตขึ้นๆ
“วันนี้เป็นวันของเรา ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้สอนให้เราทำงานดีขึ้น เร็วขึ้น โดยใช้เวลาน้อยลง บางวันก็ให้เป็นของคนอื่นบ้าง หากพลาดก็ต้องทำใจ เรื่องการเมืองคงไม่เท่าไร เพราะผมเป็นคนไทยมั้งครับเลยไม่กลัว ไม่เหมือนต่างชาติที่เขาอ่อนไหวอย่างมาก ธุรกิจของผมไม่ได้ขึ้นกับฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ผมมองแค่จะทำให้ดีที่สุด ตอบโจทย์ที่สุด ถ้าไม่โตก็ตาย”
ปัจจุบัน รายได้ของบริษัท สัดส่วน 70% อยู่ที่งานโปรเจค 30% จาก Shoppening และ WiKalenda ต่อไปจะผลักดันให้เกิดรายได้จากการโฆษณาในแพลตฟอร์มทั้งสองเพิ่มเป็น 70% และลดการขายโปรเจคลง 30% ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักพัก ช่วงนี้เป็นช่วงแนะนำสินค้าใหม่ น่าจะเริ่มเห็นผลต้นปี 2554
“อย่างน้อยๆ ต้องรักในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วเริ่มลงมือแบบจริงจังต่อไป แม้ไม่โตอย่างที่ฝัน อย่างน้อยก็ได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ” ธนพงศ์พรรณ บอกความมุ่งมั่น
(จาก กรุงเทพธุรกิจ โดย : วริยา คำชนะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น