ทั้งหมดล้มหายไปจากเหตุการณ์วิกฤติธนาคาร ทำให้ผลรวมในอุตสาหกรรมทั้งหมดในขณะนั้นตกลงจาก 38,2000 หน่วยในปี 1999 ลงเหลือ 60,000 หน่วยในปี 2009
เมื่อสิ้นปี 2009 เรากลายมาเป็นเจ้าของ Berkadia Commercial Mortgage ถึง 50% (หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ Capmark) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ มีพอร์ตการลงทุน 235 พันล้านดอลล่าร์ บริษัทนี้มีผู้บุกเบิกที่สำคัญหลายคน มีบริษัทลูกกระจายอยู่ใน 25 รัฐทั่วประเทศ แม้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะประสบปัญหาหนักในสองสามปีที่ผ่านมา แต่ทว่าโอกาสในระยะยาวของ Berkadia ก็ยังคงโดดเด่นอยู่
หุ้นส่วนของเราในการดำเนินงานนี้คือ Leucadia บริหารโดย Joe Steinberg และ Ian Cumming และกับผู้ที่เรามีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมด้วยกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ย้อนหลังไปเมื่อ Berkshire เข้าร่วมกับพวกเขาในการซื้อ Finova ที่เป็นธุรกิจที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเงิน เพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์เหล่านั้น Joe และผมทำมากกว่าการแชร์ในหน้าที่การงาน คือทั้งจัดการและกระตุ้นไปด้วย แน่นอนว่าผมยินดีมากเมื่อพวกเขาอยากให้ผมเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนอีกครั้งในการซื้อ Capmark
ความเสี่ยงครั้งแรกของพวกเราเกิดขึ้นเมื่อต้องใส่ตะกร้าล้างน้ำ Berkadia ดังนั้นอยากให้เรียกว่าอันนี้เพียงแค่เด็กน้อยของ Berkadia เท่านั้น วันหลังผมจะเล่าให้ฟังถึงลูกชายคนโตของ Berkadia
ตารางด้านล่างนี้เป็นหุ้นที่เราถืออยู่ ณ สิ้นปี ที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 พันล้านดอลล่าร์
ขณะเดียวกันเรายังมีตำแหน่งเป็นเจ้าของในหุ้นที่ไม่ทำการซื้อการของ Dow Chemical, General Electric, Goldman Sachs, Swiss Re และ Wrigley ด้วยทุนรวม 2.1 พันล้านดอลล่าร์ และมี Carrying Value (คือมูลค่าตามราคาตลาด ณ วันปิดบัญชี---ผู้แปล) รวม 26 พันล้านดอลล่าร์ เราซื้อบริษัทพวกนี้มาตั้งแต่ 18 เดือนก่อน ซึ่งแสดงความสามารถในการทำกำไรได้อย่างดี กิจการนี้ทำผลประกอบการรวมสำหรับรายรับและเงินปันผลให้เรากว่า 2.1 พันล้านดอลล่าร์ในแต่ละปี ท้ายที่สุดเราเป็นเจ้าของส่วนแบ่งหุ้น 76,777,029 หุ้น (คิดเป็น 22.5% ของ BNSF) เมื่อสิ้นปี ด้วยต้นทุน 85.78 ดอลล่าร์ต่อหุ้น
ในปี 2009 การขายที่ใหญ่ที่สุดของเราคือการขาย ConocoPhillips, Moody’s, Procter & Gamble และ Johnson & Johnson (โดยการขายเกิดขึ้นหลังจากเราเริ่มซื้อบริษัทอื่นๆ ในปีก่อนหน้า) Charlie และผมเชื่อว่าหุ้นทั้งหมดนั้นจะมีราคาสูงขื้นในอนาคต เราจึงขายหุ้นบางตัวในปี 2009 เพื่อที่จะยกระดับเงินสดสำหรับซื้อ Dow และ Swiss Re และต่อมาในปีนั้นก็ขายหุ้นอื่นๆ อีกเพื่อนำเงินไปซื้อ BNSF
เราบอกคุณไปตั้งแต่ปีที่แล้วว่าตลาดพันธบัตรทั้ง Corporate Bond และ Municipal Bond น่าสนใจ เพราะราคามันค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Treasuries) ดังนั้น เราจึงซื้อเข้ามาบ้าง แต่เราน่าจะซื้อมากกว่านี้ เพราะโอกาสใหญ่แบบนี้มีไม่บ่อยนัก โบราณว่า “When it’s raining gold, reach for a bucket, not a thimble.”
ย่างเข้าปี 2008 เรามีสภาพคล่องเงินสด 44.3 พันล้าน และรักษาระดับการดำเนินงานจนได้รับเงิน 17 พันล้าน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นปี 2009 ระดับเงินสดของเราลดต่ำลงไปอยู่ที่ 30.6 พันล้าน (ด้วยการใช้ 8 พันล้านไปกับการปรับปรุงเข้าเป็นสมาชิกของ BNSF)
เราลงทุนจำนวนมากในช่วงสองปีก่อนซึ่งถือว่าเศรษฐกิจกำลังตกต่ำ หากแต่ว่ามันเป็นปีในฝันของนักลงทุนเลยทีเดียว สถานการณ์ความตื่นกลัวนี้เป็นเพื่อนที่ดีของพวกเขา คนส่วนใหญ่ที่ชอบแห่ตามพวกนักวิเคราะห์วิจารณ์หุ้นในช่วงตลาดบูม มักลงเอยด้วยการขาดทุน ทว่า สิ่งสำคัญในการลงทุนก็คือ คุณลงทุนในธุรกิจ คุณจ่ายเพื่อธุรกิจ (ด้วยการซื้อบางส่วนของธุรกิจนั้นผ่านตลาดหุ้น) และจ่ายสำหรับแนวโน้มที่ธุรกิจเหล่านั้นจะได้รับในความสำเร็จที่จะมีมาในอีก 1 หรือ 2 ทศวรรษ
ปีที่แล้วผมเขียนถึงสถานะการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ของเราเสียยาวเหยียด ข้อความเหล่านั้นนำมาซึ่งการโต้เถียงและเข้าใจผิด สำหรับข้อโต้แย้งอภิปรายต่างๆ กรุณาไปที่ www.berkshirehathaway.com
ปีที่ผ่านมา เราปรับเปลี่ยนพอร์ตเล็กน้อยเท่านั้น สัญญาบางตัวหมดลง และอีกประมาณ 10% ของ Equity Put Contracts ก็เปลี่ยนไปบ้าง คืออายุสัญญาสั้นลง และ Strike Prices ก็ลดลงด้วย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทำให้เงินทองเปลี่ยนมือไปแต่อย่างใด
ข้อสำคัญ 2-3 จุด จากการอภิปรายเมื่อปีที่แล้วที่มีค่าควรแก่การพิจารณา
• แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ผมคาดว่าตราสารอนุพันธ์ที่เราถืออยู่จะทำกำไรได้ดีตลอดช่วงอายุของมัน แม้ว่ารายรับจากการลงทุนใน float จำนวนมหาศาลนั้นจะถูกแยกออกมาจากการคำนวณก็ตาม โดย float ของเราที่เนื่องมาแต่การออกตราสารอนุพันธ์ (ที่ไม่นับรวมกับ 62 พันล้านดอลล่าร์) มีอยู่ประมาณ 6.3 พันล้านดอลล่าร์เมื่อตอนสิ้นปี
• ในบรรดาตราสารอนุพันธ์ที่เราถืออยู่ มีบ้างบางรายที่เราต้องลงหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำที่สุดและเงินเหือดหายไปจากตลาดเงินกู้เมื่อปีที่ผ่านมา เราต้องลงหลักทรัพย์ค้ำประกันไปประมาณ 1.7 พันล้านฯ ซึ่งถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Derivative-related Float ของเรา แต่กระนั้นก็ตาม หลักทรัพย์ค้ำประกันจำนวนนั้น ก็ยังสร้างรายได้ให้เราตลอดเวลาที่มันถูกนำไปค้ำประกันอยู่
• ท้ายที่สุดคือคุณควรคาดการณ์ถึงการแกว่งครั้งใหญ่ในมูลค่าตราสารอนุพันธ์ที่เราถือ เพราะมันอาจกระทบต่อผลการดำเนินงานรายไตรมาสที่เราแสดง แต่มันจะไม่กระทบต่อสถานะเงินสดและเงินลงทุนโดยรวมของเรา และนี่เป็นผลกำไร (ขาดทุน) ก่อนหักภาษี ในส่วนตราสารอนุพันธ์ที่เราถือ ณ สิ้นปีที่แล้ว
จากที่เราอธิบายมาแล้วการแกว่งอย่างใหญ่โตนี้ไม่ได้ทำให้ Charlie และผมรู้สึกอะไร เมื่อเรารายงานคุณ เราก็จะยังคงต้องทำการแบ่งแยกส่วนตัวเลขนี้ให้คุณเห็นเป็นต่างหาก (เหมือนที่เรารู้ดีว่าส่วนใดกำไรหรือขาดทุน) ดังนั้นคุณจะมองเห็นถึงรายรับของธุรกิจเราชัดเจนยิ่งขึ้น เราภูมิใจที่เราได้ถือตราสารอนุพันธ์กลุ่มนี้ เพราะมันช่วยให้เราได้กำไรจาก float และเรายังคาดหวังว่าเราจะได้รายรับจากการลงทุนในส่วนนี้อีกตราบเท่าที่อายุของมันยังไม่หมดลง
เราลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่ Charlie และผมคิดว่าราคามันถูกกว่าที่ควรจะเป็นมานานแล้ว เหมือนกันที่เราชอบลงทุนในหุ้นและพันธบัตรที่เราคิดว่าราคามันถูกกว่าที่ควรจะเป็นนั่นแหละ อันที่จริง เราเริ่มรายงานให้กับพวกคุณว่าเราถือตราสารอนุพันธ์ครั้งแรกเมื่อต้นปี 1998 โน่นแล้ว และเราก็เคยเตือนถึงภยันตรายของตราสารประเภทนี้มาตลอด ว่ามันอาจสร้างความเสียหายให้กับผู้เกี่ยวข้องและกับสังคมโดยรวมได้ราวกับระเบิดเวลา เมื่อมันนำไปสู่การก่อหนี้อย่างมหาศาลและเกิดความเสี่ยงกับคู่ค้าอย่างมหาศาล ซึ่งตราสารประเภทนั้น Berkshire ไม่เคยข้องแวะ และจะไม่ข้องแวะในอนาคต
มันเป็นหน้าที่ของผมและชาลีที่ต้องรักษาให้ Berkshire นั้นห่างไกลจากปัญหา ชาลีและผมเชื่อว่า CEO นั้นต้องไม่มอบให้ผู้ใดจัดการความเสี่ยงแทนเรา แม้ว่ามันง่ายมากที่จะทำเช่นนั้น แต่ว่าสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ Berkshire ก็คือผมจะดูแลสัญญาอนุพันธ์ ทุกๆ ตัวของเรา ยกเว้นสัญญาที่ผูกพันอยู่ในบริษัทสาขาสองสามแห่ง เช่น MidAmerican และสัญญาเล็กสัญญาน้อยของ General Re. หาก Berkshire เกิดปัญหาขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็จะเป็นความผิดของผม ไม่ใช่ความผิดพลาดในการตัดสินใจของคณะกรรมการหรือผู้บริหารความเสี่ยงในออฟฟิศ
(จาก MBAmag)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น